Tuesday, March 27, 2007

 

สนามบินสุวรรณภูมิ SUVARNAPHUMI AIRPORT

ข้อมูลท่าอากาศยาน Airport Info
อาคารผู้โดยสารของสุวรรณภูมิประกอบด้วย 7 ชั้นบนภาคพื้น และ 2 ชั้นใต้ดิน ส่วนอำนวยความสะดวกทั้งของผู้โดยสารภายในประเทศและระหว่างประเทศจะอยู่ในอาคารเดียวกัน

ชั้น 1 เป็นโถงรถประจำทาง ซึ่งจะไม่ได้รับอนุญาตผ่านไปชั้น 2-3 เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่คับคั่ง นอกจากนี้ยังมีศูนย์รักษาพยาบาล สำนักงานการท่าอากาศยานในการตรวจสอบดูแลระบบไฟฟ้าและควบคุมภายในสนามบิน

ชั้น 2 เป็นส่วนของ อาคารขาเข้า สำหรับผู้โดยสารภายในประเทศเเละระหว่างประเทศ

ชั้น 3 ประกอบด้วย บริเวณพักคอยของผู้โดยสารของสายการบิน ร้านค้าต่างๆ จุดตรวจรักษาความปลอดภัย จุดนัดพบ เคาน์เตอร์ให้บริการ และ ซีไอพี เลาจ์น

ชั้น 4 เป็นส่วนของอาคารขาออก ประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศและภายในประเทศ บริเวณพักคอยสำหรับ ผู้โดยสารระดับพรีเมี่ยมของการบินไทย จุดตรวจเช็คศุลกากร บางส่วนของสำนักงานเจ้าหน้าที่รัฐบาล บู้ทสายการบินต่างๆ เคาน์เตอร์ให้บริการข้อมูล และบันไดเลื่อนสำหรับผู้โดยสารที่ต้องการไปยังร้านอาหารต่างๆบนชั้น 6

ชั้น 5 เป็นส่วนสำนักงานบริษัทการบินไทยและสายการบินในเครือ

ชั้น 6 ประกอบด้วยร้านอาหารต่างๆที่สามารถผ่านขึ้นจากบันไดเลื่อนทางชั้น 4

ชั้น 7 เป็นจุดชมวิว

สำหรับชั้นล่างซึ่งเรียกว่าชั้น 0 ซึ่งให้บริการเป็นสถานีรถไฟ และชั้น -1 เป็นชานชาลาของรถไฟ รวมถึงเป็นสถานที่สำหรับระบบลำเลียงกระเป๋า

ทั้ง 7 อาคาร คอนคอร์ท จากเอถึงจี เชื่อมต่อกับอาคารผู้โดยสาร ซึ่งพื้นที่โดยรวมของอาคารคอนคอร์ท เเละ อาคารผู้โดยสารมีพื้นที่ประมาณ 563,000 ตารางเมตร ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับท่าอากาศยานดอนเมือง (ทั้งอาคาร 1 และ อาคาร 2) รวมกันมีพื้นที่เพียง 321, 166 ตารางเมตร อาคารคอนคอร์ท มีหลังคาที่ทำจากกระจก และวัสดุเทียมแบบพิเศษซึ่งมีความแข็งแรงและทนทานมาก ซึ่งเคลือบด้วยเทฟลอนเพื่อป้องกันความชื้นและสกปรก ผู้โดยสารสามารถเดินเข้ามาที่อาคารคอนคอร์ทโดยผ่านทางอาคารคอนคอร์ท ดี ซึ่งเชื่อมต่อโดยตรงกับอาคารท่าอากาศยาน
อาคารคอนคอร์ท เอ และ บี สำหรับผู้โดยสารภายในประเทศ มีรายละเอียดดังนี้

อาคารคอนคอร์ท เอ สำหรับผู้โดยสารภายในประเทศโดยมีความยาวประมาณ 423 เมตร อาคารนี้สามารถรองรับ เครื่องบิน 6 ลำ เเละมีช่องทางเชื่อมต่อ 1 ช่องทางที่สามารถใช้กับประตูทางออกเครื่องบิน

อาคารคอนคอร์ท บี สำหรับผู้โดยสารภายในประเทศโดยมีความยาวประมาณ 270 เมตร อาคารนี้สามารถรองรับเครื่องบิน 6 ลำเเละมีช่องทางเชื่อมต่อ 2 ช่องทางที่สามารถใช้กับประตูทางออกเครื่องบิน

อาคารคอนคอร์ท ซี ดี อี เอฟ เเละ จี ใช้สำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ โดยมีข้อมูลดังนี้

อาคารคอนคอร์ท ซี มีความยาวประมาณ 459 เมตร เเละสามารถรองรับเครื่องบินได้ถึง 10 ลำโดยมีช่องทางเชื่อมต่อ2 ช่อง ที่เชื่อมต่อกับประตูทางออกเครื่องบิน

อาคารคอนคอร์ท ดี มีความยาวประมาณ 909 เมตร เเละสามารถรองรับเครื่องบินได้ถึง 8ลำโดยมีช่องทางเชื่อมต่อ 2 ช่องที่เชื่อมต่อกับประตูทางออกเครื่องบิน

อาคารคอนคอร์ท อี มีความยาวประมาณ 459 เมตร เเละสามารถรองรับเครื่องบินได้ถึง 10 ลำ โดยมีช่องทางเชื่อมต่อ 2 ช่องที่เชื่อมต่อกับประตูทางออกเครื่องบิน

อาคารคอนคอร์ท เอฟ มีความยาวประมาณ 270 เมตรเเละสามารถรองรับเครื่องบินได้ถึง 6 ลำ โดยมีช่องทางเชื่อมต่อ 2 ช่องที่เชื่อมต่อกับประตูทางออกเครื่องบิน

อาคารคอนคอร์ท จี มีความยาวประมาณ 432 เมตร เเละสามารถรองรับเครื่องบินได้ถึง 5 ลำ โดยมีช่องทางเชื่อมต่อ 1 ช่องที่เชื่อมต่อกับประตูทางออกเครื่องบิน นอกจากนี้ยังมี จุดรับรองวีไอพี ที่อาคารนี้ด้วย

การเชื่อมต่อของอาคารคอนคอร์ทนี้เรียกว่า “แอร์ไซด์ เซ็นเตอร์” ซึ่งจะมีทางเชื่อมอยู่ 2 จุด บนชั้น 3 และ 4 ซึ่งจะใช้เป็นส่วนของร้านค้า และบริเวณด้านนอกของอาคารคอนคอร์ทจะถูกพัฒนาเป็นสำนักงานของสายการบิน และ จุดพักคอยต่างๆของสายการบิน

ระบบทางเดินผู้โดยสาร

ผู้โดยสารระหว่างประเทศ
ผู้โดยสารขาออก (Airline Check-in Areas http://www.airportthai.co.th/airportnew/sun/checkin.asp?lang=en ) : สามารถผ่านเข้ามาจากทางเข้าบนชั้น 4 อาคารขาออก ซึ่งสามารถไปถึงได้โดยรถยนต์หรือเดินจากอาคารจอดรถ ซึ่งเชื่อมต่อกับอาคารผู้โดยสารขาออกชั้น 3 อาคารเดียวกัน
เมื่อเข้ามาถึงอาคารผู้โดยสารขาออก ผู้โดยสารสามารถเช็คอินที่เคาน์เตอร์ 4-10 ก่อนที่จะผ่านไปยังจุดตรวจเช็คพาสปอร์ตและศุลกากร จากนั้นผู้โดยสารสามารถผ่านไปถึงอาคารคอนคอร์ท ดี ผ่านทาง 2 ช่องทางเชื่อมต่อจาก อาคารเทอร์มินอลคอมเพล็กซ์ บริเวณชั้น4 ของอาคารคอนคอร์ท ดี ประกอบด้วยร้านค้าต่างๆมากมาย ซึ่งผู้โดยสารสามารถซื้อของระหว่างรอขึ้นเครื่อง และเมื่อถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง ผู้โดยสารสามารถไปที่เกทผ่านทางชั้น3 ของอาคาร และรอที่ห้องพักคอยที่ชั้น 2 ผู้โดยสารที่มีกระเป๋าถือต้องได้รับการตรวจสอบก่อน โดยจุดตรวจจะอยู่บริเวณชั้น 3 เเละชั้น 4 ของตึกคอนคอร์ท

ผู้โดยสารขาเข้า : สามารถเข้ามาในอาคารผู้โดยสารผ่านทางชั้น 2 ของอาคารคอนคอร์ท ยกเว้นผู้โดยสารที่เข้ามาทางประตูรถโดยสารประจำทาง ที่เทอมินอลจะมีจุดตรวจพาสปอร์ต และมีบริเวณที่สามารถรับกระเป๋าเดินทางจาก 22 สายพานลำเลียง ซึ่งแบ่งเป็นสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ 17 สายพานลำเลียง และสำหรับผู้โดยสารภายในประเทศ 5 สายพานลำเลียง หลังจากผู้โดยสารรับกระเป๋าเเละผ่านจุดตรวจศุลกากรแล้ว ผู้โดยสารจึงจะสามารถเข้ามาในอาคารผู้โดยสารขาเข้า และในบริเวณนี้จะมีเคานเตอร์บริการด้านรถโดยสาร โรงแรมและที่พักอาศัยรวมถึงจุดบริการข้อมูลนักท่องเที่ยว สำหรับด้านนอกของอาคารนี้ จะเป็นจุดรับผู้โดยสาร ในกรณีที่ผู้โดยสารเดินทางกับบริษัททัวร์ ผู้โดยสารจะต้องไปที่ชั้น 1 เพื่อโดยสารรถบัสและรถโค้ช สำหรับจุดนัดพบทั่วไปจะอยู่บริเวณชั้น 3

ผู้โดยสารที่ต้องเปลี่ยนเที่ยวบิน : กรณีผู้โดยสารที่เปลี่ยนเที่ยวบิน จะต้องมาที่บริเวณแอร์ไซด์ หลังจากที่ผ่านเข้ามาในบริเวณชั้น 2 ของอาคารคอนคอร์ท เพื่อที่จะผ่านขั้นตอนต่างๆก่อนจะเข้าสู่บริเวณชั้น 3 และชั้น 4 เพื่อดำเนินขั้นตอนต่างๆจนเสร็จสมบูรณ์

ผู้โดยสารภายในประเทศ
ผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ : สามารถเช็คอินที่เคาน์เตอร์ 2 และ 3 บนชั้น 4ของอาคารขาออก หลังจากนั้นต้องลงไปที่ชั้น 2 เพื่อตรวจเช็คกระเป๋าถือ
ผู้โดยสารขาเข้าภาวในประเทศ : จะเข้ามาที่อาคาร ผ่านทางชั้น 2 ของอาคารคอนคอร์ท เพื่อรับกระเป๋าจากจุดสายพานลำเลียงกระเป๋าภายในประเทศ ซึ่งมีอยู่ 5 จุดก่อนที่ผ่านเข้าไปในอาคารขาเข้า เคาน์เตอร์ให้บริการต่างๆด้านนอกอาคารขาเข้า จะต้องถูกใช้ร่วมกันระหว่างผู้โดยสารภายในประเทศและระหว่างประเทศ




แผนผังอาคารผู้โดยสาร
http://bidding.airportthai.co.th/airportnew/bidding/map/map-inside11.pdf

การเดินทางไปสนามบิน
http://www.airportthai.co.th/airportnew/sun/access.asp?lang=th

อัตราค่าจอดรถยนต์
http://www.airportthai.co.th/airportnew/sun/carpark.asp#2?lang=th

บริการการขนส่ง รถโดยสาร รถสาธารณะ
http://www.airportthai.co.th/airportnew/sun/transportation1.asp?lang=th&sub=bmta#bmta

Tuesday, September 12, 2006

 

ทำอย่างไรเมื่อไปถึงสนามบิน

ข้อมูล "ทำอย่างไรเมื่อไปถึงสนามบิน" ไปเจอมาจาก website ของ Tourlok ค่ะ เลยเก็บมาเผื่อเป็นประโยชน์

http://www.tourlok.com/Traveltip/checkin.html

สำหรับเพื่อนๆ ที่เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก คงมีความตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยนะครับ
และหากต้องเดินทางไปคนเดียวแล้ว ยิ่งตื่นเต้นเป็นพิเศษเลยครับ
เพราะไม่รู้ว่าไปถึงสนามบินแล้วจะต้องทำอะไรบ้าง และต้องเตรียมตัวอย่างไรดี
( สำหรับผู้ที่เดินทางเป็นหมู่คณะ ก็จะไม่ค่อยซึมซับความรู้สึกนี่หรอกครับ
เพราะธุระทุกอย่างจะมีผู้นำทัวร์เป็นคนคอยจัดการให้ทั้งหมด)

เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า เพื่อนๆที่เดินทางไปต่างประเทศคนเดียว
ไม่ว่าจะเพราะเรื่องงาน ท่องเที่ยว หรือนัดหมายไปเที่ยวกับเพื่อนที่อยู่เมืองนอก
สิ่งที่จะแนะนำต่อไปคือสิ่งที่คุณจะต้องจัดการเองแน่นอนครับ

สิ่งที่ต้องมี

• Passport ณ วันที่เดินทางต้องไม่หมดอายุ และยังใช้ได้อย่างน้อยอีก 6 เดือนครับ พร้อมวีซ่า สำหรับเข้าประเทศนั้นๆ (หากต้องมี)

• ตั๋วโดยสาร โดยปกติต้องมีทั้งไปและกลับ เพราะบางประเทศจะขอให้แสดงก่อนเข้าประเทศครับ เพื่อเป็นการยืนยันว่า คุณกลับประเทศไทยแน่นอน เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

• เงินบาท สำหรับไว้ชำระภาษีการใช้สนามบิน 500 บาท และบวกไว้สำหรับคนที่ไม่มีใครไปรับไปส่ง ต้องมีนะครับ เพราะอย่างน้อยก็ต้องกะไว้พอสำหรับ ค่า taxi จากบ้านไปสนามบิน และ จากสนามบินกลับมาบ้าน

• เงินสกุลประเทศที่จะเดินทางไป อาจจะไปแลกเอาที่ดอนเมืองก็ได้ครับ อย่างน้อยก็สำรองไว้ หากมีอันเป็นต้องพลัดหลง กับคนมารับที่ปลายทาง หรือไว้สำหรับซื้อของกินระหว่างรอหรือพักเปลี่ยนเครื่อง

ทั้งสี่ข้อนี่เป็นสิ่งจำเป็นนะครับ ต้องเอาไปให้ครบ หากไม่แน่ใจกลัวจะลืม
เพื่อนๆก็สามารถ ดาวน์โหลด
ใบกันลืม (สำหรับ Microsoft Word)
และ
ใบกันลืม (สำหรับ Acrobat Reader) ของเราไปใช้ได้นะครับ

เอาเป็นว่าตอนนี้ คุณพร้อมจะเดินทางออกจากบ้านแล้ว

เราขอแนะนำว่า หากครั้งนี้เป็นการเดินทางไปเมืองนอกครั้งแรกของคุณจริงๆ
คุณควรจะกะเวลาให้ไปถึงสนามบินดอนเมือง โดยอย่างน้อยคุณยังมีเวลา 2 ชั่วโมงก่อนเครื่องขึ้น เพราะว่า
• มีเวลาสำหรับตรวจตราเอกสาร
• มีเวลาเข้าคิว เช็คอิน และรับบัตรขึ้นเครื่อง (Check-in)
• มีเวลาผ่านด่านตรวจคนเข้าออกจากประเทศไทย
• มีเวลาแลกเงิน
• มีเวลาร่ำลา หรือโทรศัพท์หาเพื่อนๆ
• มีเวลาเดินสำรวจร้านค้าปลอดภาษี สำหรับขาช้อบปิ้ง
• มีเวลาเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวสำหรับคนที่มักจะตื่นเต้นง่าย
• สุดท้ายมีเวลาเดินหาประตูขึ้นเครื่อง

ก่อนเดินทาง จะเป็นการดีถ้าคุณทราบว่า สายการบินที่คุณจะใช้บริการ อยู่ที่อาคารผู้โดยสารใด
แต่หากไม่ทราบ คุณสามารถดูได้ที่นี่ครับ
สำหรับ "
สายการบินที่ตั้งอยู่ Terminal 1" และ "สายการบินที่ตั้งอยู่ Terminal 2" (สนามบินดอนเมือง)
หรือโดยปกติเวลานั่งรถเข้าไปในสนามบินจะมีป้ายบอกครับ ก็ลงให้ถูกดีกว่าครับจะได้ไม่ต้องเดินเหนื่อย

เมื่อเดินทางถึงสนามบิน และอาคารผู้โดยสารที่ถูกต้องแล้ว
ภายในอาคารนั้นคุณก็จะเห็นแถวเรียงรายเต็มไปหมด และมีการลำดับด้วยเลข พร้อมสัญลักษณ์ของสายการบินต่างๆ
บริเวณแถวเหล่านี้มีไว้ สำหรับการตรวจตั๋วโดยสารครับและรับบัตรสำหรับขึ้นเครื่อง
อธิบายได้ดังนี้ครับ คือเจ้าตั๋วโดยสารที่เรามีอยู่นี้ ยังไม่สามารถขึ้นเครื่องได้ทันที
คุณจะต้องไปให้เจ้าหน้าที่แต่ละสายการบินตรวจและออกบัตรให้อีกหนึ่งใบ (ต่อหนึ่งคน)
เรียกว่า บัตรขึ้นเครื่อง ( boarding pass) ครับ
เจ้าบัตรนี้แหล่ะจะบอกเราว่าต้องไปขึ้นเครื่องที่ประตูไหน นั่งแถวที่เท่าใด และเก้าอี้ตัวไหน
(ติดหน้าต่าง ติดทางเดิน หรือตรงกลาง)
ที่ตรงนี้นอกจากคุณจะต้องตรวจรับบัตรขึ้นเครื่องแล้ว ยังเป็นที่ x-ray ที่จะฝากสายการบินไปเก็บที่ใต้ท้องเครื่องบินก็จะอยู่บริเวณทางเข้าเลยละครับ

ก่อนที่จะเริ่มเช็คอิน คุณเองก็ควรจะเช็คให้ดีก่อนนะครับว่า มีสิ่งใดที่คุณจำเป็นต้องใช้ระหว่างเดินทาง
เพราะเมื่อส่งกระเป๋าสัมภาระของคุณเข้าไปแล้ว ก็จะไม่สามารถรื้อหรือหยิบของของคุณได้อีก
ให้เลือกของที่จำเป็นต้องใช้ขณะอยู่บนเครื่องเช่น ยาประจำตัว แยกมาใส่กระเป๋าเล็กติดตัวนะครับ
หรืออาจจะหนังสืออ่านเล่นซักสองสามเล่น เอาไว้แก้เซ็งครับ

เมื่อกระเป๋าผ่านเจ้าเครื่อง x-ray แล้ว จากนั้นก็รับกระเป๋าไปเข้าคิวตามเคาน์เตอร์ได้เลยครับ
โดยปกติแล้ว สายการบินจะเปิดเคาน์เตอร์ให้เช็คอินได้ มากกว่า 1 แถว ก็เลือกเอาตามใจชอบ
แต่ก็ต้องดูนะครับเพราะบางแถวจะจัดให้สำหรับ แต่ละชั้นที่นั่งของตั๋วที่เราซื้อมา
เมื่อถึงคิวที่เราได้รับบัตรขึ้นเครื่อง ก็ให้ยกกระเป๋าที่โหลดไปใต้เครื่อง วางบนสายพานสำหรับชั่งน้ำหนัก และลากไปเก็บ
พร้อมยื่นเอกสารดังนี้คือ passport และตั๋วโดยสาร
(ถ้ามีหมายเลขสมาชิกสายการบินที่มีการสะสมไมล์เพื่อแลกรางวัลเช่น Royal Orchid Plus ของการบินไทย ก็ให้แสดงด้วยหรือ แจ้งเฉพาะเลขก็ได้ครับ) เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่จะคืนเอกสารทั้งหมดมาให้ พร้อมกับบัตรขึ้นเครื่อง ( boarding pass) "ให้คุณขอใบผ่านเข้าออกประเทศไทย (immigration card)" มาด้วย จากนั้นก็ตรวจเช็คทุกอย่างอีกครั้งว่า เป็นชื่อคุณถูกต้องแล้ว ก็ออกจากแถวมาได้เลย

หลังจากนั้นก็ให้กรอกใบผ่านเข้าออกจากเมืองที่ได้มาให้เรียบร้อย ทั้งขาเข้าและขาออก ถึงเวลานี้แล้วให้ลองเช็คเวลาซักนิดว่าเหลือเวลาสักเท่าไหร่ ถ้ามากกว่าหนึ่งชั่วโมง ก็อนุญาตให้คุณไปทำธุระตามที่คุณต้องการ แต่อย่าทำเอกสารหายนะครับ และคอยตรวจสอบเวลาด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราแนะนำว่าคุณควรไปถึงที่หน้าประตูสำหรับผู้โดยสารขาออกอย่างน้อย 1 ชั่วโมงครับ เพราะคุญยังต้องผ่านการตรวจเอกสารอื่นๆ อีก

ถึงตรงนี้ เราคาดว่าคุณคงมาถึงหน้าประตูสำหรับผู้โดยสารขาออกแล้วซึ่งก็จะอยู่ด้านในจากบริเวณแถว ที่คุณไปรับบัตรขึ้นเครื่องมานั่นละครับ ที่หน้าประตูนี้จะมีตู้ขายตั๋วภาษีสนามบิน มีทั้งแบบซื้อกับตู้อัตโนมัติ หรือจะซื้อกับเจ้าหน้าที่ก็ได้ ใบละ 500 บาท เมื่อซื้อ คุณก็ยื่นตั๋วภาษีสนามบินพร้อม แสดงเอกสารต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ตรงประตูทางเข้า จากนั้นคุณก็เดินผ่านไปได้เลย เมื่อเดินเข้าไป จะเห็นแถวตรวจเช็คหนังสือเดินทาง และใบผ่านเข้าออกเมือง ที่คุณได้กรอกไปแล้วนั่นละครับ สำหรับคนไทยจะเข้าแถวไหนก็ได้ครับเหมือนกันหมด ส่วนเอกสารที่จะต้องยื่นให้กับเจ้าหน้าที่คือ 1. passport 2. ใบผ่านเข้าออกเมือง 3. และบัตรขึ้นเครื่อง

เจ้าหน้าที่จะฉีกใบออกจากเมืองเก็บไว้ และคืนpassport พร้อมใบเข้าเมือง(ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง) กลับมาให้เรา (โดยปกติเจ้าหน้าที่ไทยจะเย็บติดไว้ในpassport เลยเพื่อกันหาย คุณก็อย่าทำหายเสียเองละ เพราะเวลากลับมาคุณต้องใช้ใบนี้อีกครั้ง) เมื่อรับเอกสารคืนมาแล้ว ก็ให้เดินผ่านเข้าไปประตูที่อยู่ด้านหลังเจ้าหน้าที่เลยครับ ข้างในก็จะเป็นบริเวณสำหรับผู้โดยสารขาออกทั้งหมด สำหรับรอที่จะขึ้นเครื่อง จะมีที่ให้คุณ shopping อย่างมากมาย หรือจะหาอะไรรับประทาน เข้าห้องน้ำห้องท่า แต่ก่อนอื่น ลองดูนาฬิกาอีกครั้งครับ ว่ากี่โมงแล้วมีเวลาเหลือเท่าไร พร้อมสังเกตป้ายแสดงเลขที่ประตูขึ้นเครื่องว่าชี้ไปทางไหนไกลหรือเปล่า ทั้งนี้ คุณสามารถตรวจเช็คหมายเลขประตูขึ้นเครื่องของเที่ยวบินคุณได้ จากจอแสดงเที่ยวบิน ซึ่งจะกระจายอยู่บริเวณห้องโถงผู้โดยสารขาออก อีกด้วย อย่างไรก็ตามเราแนะนำว่าคุณควรไปถึงหน้าประตูก่อนเครื่องขึ้นอย่างน้อย 15-20 นาที ถ้าคุณมีเวลาพอ ก็ทำธุระหรือ shopping ได้ตามสบายครับ ณ บริเวณนี้ร้านค้าจะเป็นร้านค้าปลอดภาษี ราคาก็ลองตรวจเช็คกันเองนะครับ ขณะที่ซื้อของ หรือทำธุระต่างๆ ก็ให้คอยฟังประกาศเรียกขึ้นเครื่องด้วยนะครับ อย่า shop เพลิน

เมื่อถึงเวลาแล้วก็เดินไปที่ประตูได้เลย ที่บริเวณประตูแต่ละหมายเลขจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรขึ้นเครื่อง พร้อม passport และ x-ray กระเป๋าที่คุณถือขึ้นเครื่อง และตรวจเช็ควัตถุที่สงสัยว่าเป็นอาวุธ หรือที่ห้ามนำขึ้นเครื่อง เสร็จแล้วก็ผ่านไปนั่งรอในห้องรอขึ้นเครื่องได้เลยครับ ตรงนี้คุณก็ต้องแสดงบัตรขึ้นเครื่อง (boarding pass) แก่เจ้าหน้าที่สายการบินอีกครั้งครับ และคุณได้ผ่านทุกขั้นตอนมาจนเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงแต่รอเจ้าหน้าที่ประกาศให้ขึ้นเครื่องเท่านั้น เมื่อเข้าไปในเครื่องก็จัดเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อย หากคุณต้องเดินทางไกลมาก และมีของต้องใช้ เช่นยาที่จะต้องรับประทาน ก็ควรจะเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อหรือกางเกงนะครับ จะได้ไม่ต้องลุกขึ้นรื้อกระเป๋าให้เป็นที่วุ่นวายผู้โดยสารท่านอื่นๆ นอกนั้นก็ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของสายการบินที่คุณเลือกใช้บริการนะครับ เราขอให้คุณมีความสุขกับการเดินทาง และ ท่องเที่ยว ตลอดการเดินทาง และ เดินทางโดยสวัสดิภาพครับ

(หมายเหตุ : เร็ว ๆ นี้ เค้าจะเปลี่ยนเป็นสนามบินสุวรรณภูมิแล้วนะคะ ข้อมูลนี้คงจะเก่าไปแล้ว แต่ยังคง apply ใช้ได้อยู่)

 

กฎน่ารู้เกี่ยวกับกระเป๋าเดินทาง

อันนี้เป็น เรื่อง "กฎน่ารู้เกี่ยวกับกระเป๋าเดินทาง" ของคุณ Midori จาก pantip.com

http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/H3251529/H3251529.html

หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง จะพยายามหามา update ให้นะคะ

ย้ำอีกครั้งว่าเราไม่ใช่ผู้เขียนเรื่องราวในกระทู้นี้นะคะ เครดิตขอยกให้คุณ J และคุณ Midori..... ทั้งหมดค่ะ

กฎของการเดินทางทางประเทศ เกี่ยวกับจำนวนกระเป๋าเดินทางและน้ำหนักกระเป๋าเดินทาง ต่อผู้โดยสาร 1 ท่าน

ก่อนอื่นขออธิบายกันให้เข้าใจกันก่อนว่า ระบบที่จะกล่าวถึงนี้เป็นระบบสากล ใช้กับสายการบินระหว่างประเทศ ทุกสายการบินครับขอย้ำว่า ระบบนี้ใช้กับสายการบินระหว่างประเทศทุกสายครับไม่มีข้อแม้ครับในโลกนี้ได้จัดระบบการกำหนดกระเป๋าของผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างประเทศด้วยเครื่องบิน โดยสายการบินระหว่างประเทศไว้แค่ 2 ระบบเท่านั้นครับ ทั้งนี้ระบบที่ว่านี้ มิได้ขึ้นอยู่กับว่าผู้โดยสารเดินทางด้วยสายการบินระหว่างประเทศสายการบินใดน่ะครับระบบที่ว่านี้ ขึ้นอยู่กับว่า ผู้โดยสารเดินทางไปจุดหมายปลายทางที่ใด ผ่านประเทศใด ทวีปใดครับ

ระบบที่ 1.) กำนหดด้วยจำนวนกระเป๋าเดินทางระบบนี้เรียกว่า Piece Concept ครับระบบนี้ใช้กับผู้โดยสารที่เดินทาง เข้า หรือ ออก หรือผ่าน (Transit,Tansfer) ทวีปอเมริกา ทั้งทวีปอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ หมายถึงสหรัฐอเมริกา แคนาดา และทุกประเทศในทวีปอเมริกาใต้ เช่น บราซีลแม็กซิโก ฯลฯโดยระบุว่าผู้โดยสาร 1 ท่าน ได้รับอนุญาติให้เดินทางได้ด้วยกระเป๋า 2 ใบและน้ำหนักสูงสุดใบล่ะไม่เกิน 32 กิโลกรัม หรือ 70.4 ปอนด์หมายถึงว่า ผู้โดยสารได้รับอนุญาติให้เดินทางด้วยน้ำหนักรวมไม่เกิน 64 กิโลกรัม (140.8 ปอนด์) ด้วยกระเป๋าที่จำกัดจำนวน2 ใบเท่านั้นครับ* ทั้งนี้ไม่รวมถึงผู้โดยสารที่อายุต่ำกว่า 24 เดือน เดินทางด้วยตั๋ว Infant น่ะครับ (จะอธิบายเหตุผลภายหลังครับ)

ระบบที่ 2.) กำหนดด้วยน้ำหนักรวมของกระเป๋าระบบนี้เรียกว่า Weight Concept ครับระบบนี้ใช้กับผู้เดินทางที่เดินทางไปทุกประเทศที่เหลือในโลกนี้ยกเว้นไปประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต้*** รวมถึงยกเว้นผู้เดินทางที่ไปประเทศอื่นๆ แต่เดินทางโดยผ่านทวีปอเมริกาเหนือ หรือทวีปอเมริกาใต้ และผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวรอบโลกโดยผ่านทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต้ด้วยครับ ตัวอย่างเช่น ผู้โดยสารจะเดินทางไปประเทศ อังกฤษถ้าผู้โดยสารเดินทางตรงไปอังกฤษเลย จะใช้ระบบน้ำหนักรวมที่จะกล่าวถึงนี้น่ะครับ แต่ว่า ถ้าผู้โดยสารเดินทางไปอเมริกาก่อนหรือสายการบินที่ว่า แวะ Transit ที่อเมริกา ผู้โดยสารก็จะเดินทางด้วยระบบจำนวนกระเป๋าที่กล่าวถึงข้างต้น ***ในระบบนี้ ผู้โดยสารได้รับอนุญาติให้เดินทางด้วยน้ำหนักรวมกระเป๋าท่านล่ะ 20 กก. (44ปอนด์) ในชั้นประหยัดท่านล่ะ 30 กก. (66ปอนด์) ในชั้นธุรกิจ และท่านล่ะ 40 กก. (88ปอนด์) ในชั้นหนึ่ง** โดยไม่รวมถึงผู้โดยสารที่มีอายุต่ำกว่า 24 เดือน เดินทางด้วยตั๋ว Infant น่ะครับ

ทั้งสองระบบนั้น เป็นระบบสากลที่ใช้กับสายการบินระหว่างประเทศทุกสายการบิน โดยจะพิมพ์ปรากฎในตั๋วเครื่องบินเพื่อการเดินทางระหว่างประเทศ ทุกใบครับ และข้อกำหนดที่พิมพ์อยู่บนตั๋วนั้นตามหลักกฎหมายแล้ว ถือว่าเป็นข้อกำหนดที่เป็นที่ตกลงรับรู้ และยอมรับแล้วระหว่างสายการบิน และผู้ซื้อตั๋วโปรดสังเกตุตัวพิมพ์เล็กๆที่พิมพ์ปรากฎอยู่ในตั๋วเครื่องบินน่ะครับโดยมากจะอยู่ปกด้านในของตั๋วทุกใบครับตั๋วเครื่องบินสำหรับเดินทางระหว่างประเทศที่พิมพ์โดยถูกต้องทุกใบ (เพราะบางครั้งจะมีการพิมพ์ผิดพลาดของผู้ออกตั๋ว)ผู้โดยสารสามาถดูได้ว่า ตั๋วที่ผู้โดยสารถืออยู่นั้นใช้ระบบใดในการเดินทาง Piece concept หรือ Weight concept โดยการอ่านบนหน้าตั๋วที่มีชื่อผู้โดยสาร เที่ยวบิน วันที่ เวลาออกเดินทางจากบรรทัดที่ว่านั้น หากดูในช่องสุดท้าย ทางขวามือสุด ริมๆ ขอบๆตั๋วจะมีช่องสุดท้ายเขียนว่า Allow ตรงส่วนนี้เป็นส่วนที่ระบุให้ผู้โดยสารทราบว่าท่านเดินทางด้วยระบบใด

ถ้าผู้โดยสารเดินทางด้วยระบบ Piece concept ตรงช่องที่ว่านั้นจะพิมพ์ว่า PC หรือ 2PC ครับถ้าผู้โดยสารเดินทางด้วยระบบ Weight concept ช่องที่ว่านั้นจะพิมพ์ว่า 20K สำหรับชั้นประหยัด 30K สำหรับชั้นธุรกิจ และ40K สำหรับชั้นหนึ่ง

*** ตั๋ว Infant จะพิมพ์คำว่า " NIL " ***ตั๋ว Infant สำหรับผู้โดยสารที่อายุไม่เกิน 24 เดือนในขณะ เดินทางเท่านั้น ที่ได้รับอนุญาตให้ซื้อตั๋วประเภทนี้ได้ เหตุที่กล่าวว่า"ในขณะเดินทางเท่านั้น" เพราะว่า หากว่าผู้โดยสารเดินทางไปเมื่ออายุ 23 เดือน 15 วัน และจะเดินทางกลับในอีก 24 วันข้างหน้าผู้โดยสารจะได้รับการอนุโลมให้เดินทาง เฉพาะเที่ยวไปเท่านั้นที่จะเดินทางด้วยตั๋ว Infant ได้ เพราะเมื่อถึงวันเดินทางกลับผู้โดยสารจะมีอายุเกิน 24 เดือนแล้วครับ จะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางด้วยตั๋ว Infant แล้วครับ ข้อนี้ต้องพิจารณาให้ดีก่อนซื้อตั๋ว Infant น่ะครับตั๋ว Infant นี้ ราคาถูกครับ จะประมาณ 10% ของราคาตั๋วผู้ใหญ่ไม่ได้รับสิทธิในการครอบครองที่นั่ง เวลาเดินทางจะต้องนั่งตักผู้ปกครอง และด้วยราคาที่ว่านี้ จะจึงไม่ได้รับอนุญาตให้มีน้ำหนักสัมภาระสำหรับเดินทางด้วยครับ ในช่อง Allow บนหน้าตั๋วจึงพิมพ์คำว่า NIL ครับดังนั้น หากว่าต้องการความสะดวกสะบายในการเดินทาง หรือต้องการได้รับอนุญาตให้เดินทางด้วยจำนวนกระเป๋าที่มากขึ้นหรือ น้ำหนักมากขึ้น ซื้อตั๋วเด็กให้เถอะครับ เพราะว่าผู้โดยสารจะได้ครอบครองที่นั่งเป็นของตัวเอง ไม่ต้องนั่งตักผู้ปกครองและยังได้อนุญาตเรื่องกระเป๋าเดินทางเท่ากับจำนวนผู้โดยสารผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเลยครับ ตั๋วเด็กจะราคาถูกกว่าราคาตั๋วผู้ใหญ่ประมาณ 30% ครับ โดยประมาณน่ะครับ

***** เรื่องของการอลุ้มอล่วยน้ำหนักในการเดินทาง *****
สายการบินทุกสาย ทุกสถานี มักจะอลุ้มอล่วยน้ำหนักกระเป๋าในการเดินทาง ไม่มากก็น้อยครับ แต่ยังไม่เคยเห็นสายการบินใดที่จะเข้มงวดตรงตามกฎทุกประการเลยครับสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางด้วย Piece concept สายการบินค่อนข้างลำบากในการอลุ้มอล่วยครับ เพราะว่า ในอเมริกาสายการบินจะเข้มงวดเรื่องจำนวนกระเป๋ามากกว่าในประเทศไทยผมหมายถึงว่า เช่น ผู้โดยสารเดินทางจากกท. ไปสหรัฐอเมริกาโดยเดินทางไป Los Angelis แล้วเดินทางต่อไป New York น่ะครับหากที่กรุงเทพฯ อนุญาติให้เดินทางด้วยกระเป๋า 3 ใบ เพราะเห็นว่าไม่ได้มีน้ำหนักรวมเกิน 64 กก. แต่เมื่อผู้โดยสารเดินทางไปถึงLos Angelis แล้ว จะไปต่อไปยัง New York ผู้โดยสารจะมีปัญหาในการเดินทางด้วยกระเป๋า 3 ใบ ครับ อาจจะถึงขั้นต้องเสียเวลามานั่งจัดกระเป๋าใหม่ให้เป็น 2 ใบครับอีกอย่างหนึ่ง ถ้าจะว่าไปแล้ว เดินทางด้วยน้ำหนัก 64 กก. ต่อผู้โดยสาร 1 ท่านแล้ว ถือว่ามากแล้วครับ ถ้าเทียบกับผู้โดยสารท่านอื่นๆที่เดินทางด้วยน้ำหนักไม่เกิน 20 กก.น่ะครับ(เรื่องการจัดกระเป๋า ผมเห็นว่าในสมัยนี้ การเดินทางไม่จำเป็นต้องนำเอาอาหารสำเร็จรูป กึ่งสำเร็จรูปแล้วน่ะครับ เพราะว่าสมัยนี้ในต่างประเทศที่คนไทยนิยมไปศึกษา หรืออยู่อาศัยกันแทบทุกประเทศ ท่านสามารถซื้อหาได้ทุกอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริก น้ำปลา แม้กระทั่งปลาร้า หรือพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะมีขายกันแล้วครับ ขนไปก็ไปเป็นภาระ และปัญหาในการขน และการเดินทางเปล่าๆครับ ยกเว้นว่าผู้โยสารมีความจำเป็นจริงๆที่จะต้องขนไป ก็เป็นเหตุผลสว่นตัวน่ะครับ)

สำหรับท่านที่เดินทางด้วยระบบ Weight concept โดยทั่วไปสายการบินทุกสาย ทุกสถานี จะอะลุ้มอะล่วยให้เกิน จากที่ระบุไว้ในตั๋วของผู้โดยสารน่ะครับ ตั้งแต่ 5 กก. แต่ไม่เกิน 10 กก.ครับทั้งนี้ทั้งนั้น

ยังมีเหตุผลอื่นๆอีกน่ะครับ ที่สายการบินจะอะลุ้มอล่วยให้น้ำหนักเพิ่มให้เป็นกรณีไป เช่น

1.) เป็นสมาชิกสะสมไมล์ของสายการบินที่ผู้โดยสารเดินทางอยู่เช่น สมาชิก Royal Orchid Plus ของสายการบินไทยเป็นต้นแล้วยังขึ้นอยู่กับสถานะของบัตรที่ถืออยู่ด้วยน่ะครับ เพราะว่าทุกสายการบินจะแยกสถานะของบัตรสมาชิกไว้ อย่างน้อย3 ประเภทครับ แล้วแต่ความถี่ในการเดินทาง และจำนวนไมล์ที่ผู้โดยสารได้สะสมไว้น่ะครับ ตัวอย่าง-- บัตรสมาชิกทั่วไป บางสายการบินจะอนุญาตให้เพิ่มอีก5 กก. จากที่ระบุบนหน้าตั๋ว หรือบางสายการบินจะไม่ให้ครับสำหรับสมาชิกประเภทนี้ เพราะถือว่าเพิ่งเริ่มต้นสะสม-- บัตรเงิน จะได้รับอนุญาตให้เพิ่มอีก 10 กก. จากหน้าตั๋ว-- บัตรทอง จะได้รับอนุญาตให้เพิ่มอีก 20 กก. จากหน้าตั๋ว*** ที่ว่านี้ จะต้องเป็นสมาชิกสะสมไมล์ของสายการบินที่ท่านเดินทางอยู่ขณะนั้นน่ะครับ เช่นว่า จะได้รับอนุญาตเพิ่มก็ต่อเมื่อ ผู้โดยสารเป็นสมาชิก Royal Orchid Plus และเดินทางด้วยสายการบินไทย ในวันนั้นน่ะครับ ***

2.) นักเรียนไทย ที่เดินทางไปศึกษา หรือกลับจากการศึกษาในต่างประเทศ เดินทางโดยสายการบินไทยกรณีนี้ เท่าที่ทราบมา ให้เฉพาะการบินไทยเท่านั้นน่ะครับสายการบินอื่นเค้าไม่สนใจครับว่าผู้โดยสารจะเป็นนักท่องเที่ยว หรือ นักเรียน แต่สายการบินไทย จะให้โอกาสกับนักเรียนไทยครับคือ ถ้าเป็นนักเรียน เดินทางด้วยสายการบินไทย เพื่อไปศึกษา หรือกลับจากการศึกษา หากติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของการบินไทย จะได้รับอนุมัติให้เพิ่มอีก 10 กก.ครับ แต่ที่สำคัญ ผู้โดยสารต้องแสดงบัตรนักเรียนต่อเจ้าหน้าที่การบินไทยด้วยน่ะครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ว่านี้ไม่ได้ระบุไว้เป็นทางการน่ะครับ ว่า จะต้องได้ น่ะครับ ถือเป็นการอนุโลมพิเศษให้กับนักเรียนไทย โดยสายการบินไทย อย่างไม่เป็นทางการครับ

3.) ผู้โดยสารที่เดินทางด้วยตั๋ว Infantถ้าตามที่ระบุในหน้าตั๋ว จะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางด้วยสัมภาระใดๆ น้ำหนักใดๆเลยน่ะครับแต่ว่า สายการบินทุกสาย และทุกสถานี โดยทั่วไป จะอนุโลมให้ 10 กก. ครับ ซึ่งก็ไม่ได้ระบุไว้เป็นทางการน่ะครับ สายการบินมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธไม่ให้น้ำหนักใดๆเลยก็ได้ครับ

4.) นักกีฬาที่เดินทางเพื่อเป็นตัวแทนของชาติ หรือนักกีฬาที่ได้รับเชิญให้เดินทางมาแข่งขันกีฬานัดสำคัญๆ มักจะได้รับการอนุโลมน้ำหนักให้พิเศษ สำหรับอุปกรณ์กีฬาครับเช่น จักรยาน เป็นต้น

** กระเป๋าสัมภาระส่วนตัวถือขึ้นเครื่อง **
โดยแท้จริงแล้ว สายการบินจะมีกฎระบุถึงขนาดของกระเป๋าสัมภาระส่วนตัว ที่จะนำขึ้นเครื่องน่ะครับ แต่ว่าในปัจจุบันนี้กระเป๋าดังกล่าวมีการออกแบบมากมาย แตกต่างกันไปจึงจะให้เจ้าหน้าที่ ระบุตายตัวชัดเจนก็คงจะเป็นการลำบากเพราะรูปทรงที่แตกต่างกันด้วย ที่สำคัญ อย่างให้ใบใหญ่เกินไปจนไม่สามารถนำเข้าเก็บไว้บนชั้นเก็บของบนเครื่องบินน่ะครับ บางสายการบินก็ได้ออกแบบเครื่องทดสอบวัดขนาดกระเป๋าดังกล่าวน่ะครับ โดยจะเป็นกรอบ 4 เหลี่ยมที่สามารถเอากระเป๋าดังกล่าวเข้าไปได้ พร้อมทั้งเป็นเครื่องชั่งน้ำหนักด้วยภายในตัวเรื่องน้ำหนักของกระเป๋าดังกล่าว จะอนุญาตให้มากที่สุดไม่เกิน 7 กก. (15.4ปอนด์) ครับ

ผู้โดยสารชั้นประหยัด ได้รับอนุญาตท่านล่ะ 1 ใบชั้นธุรกิจ และ ชั้นหนึ่ง ได้รับอนุญาตท่านล่ะ 2 ใบครับสาเหตุที่ต้องกำหนดน้ำหนัก ก็เพื่อความปลอดภัยครับเคยมีผู้โดยสารคอหักตายมามากมาย ทั้งที่เป็นข่าว และไม่เป็นข่าว ด้วยเหตุที่ว่า กระเป๋าถือดังกล่าวน้ำหนักมากเกินไป เมื่อนำไปใส่ช่องเก็บกระเป๋าเหนือหัว (Over-head Locker)แล้วตกลงมาหล่นตรงหัวผู้โดยสารพอดี (ถ้าเป็นกระเป๋าของตัวเองก็คงโทษใครไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกระเป๋าของคนอื่นแล้วทำให้อีกคนหนึ่งต้องเสียชีวิตก็....)

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้ หากว่าเครื่องดังกล่าวตกหลุมอากาศหรือ น้ำหนักกระเป๋ามากเกินกว่าที่ ช่องเก็บของดังกล่าวได้รับการออกแบบให้รับน้ำหนักได้น่ะครับสาเหตุที่ต้องมีการกำหนดน้ำหนักดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย และการเดินทางอย่างราบรื่นของผู้โดยสารเองเพราะว่า ก่อนที่เครื่องบินจะทะยานขึ้นสู่อากาศนั้น เจ้าหน้าที่สายการบินจะต้อง เอาน้ำหนักของทุกอย่างมาคำนวณครับเช่น น้ำหนักของตัวเครื่องบินเปล่าๆ (ยังไม่มีผู้โดยสาร ไม่มีเจ้าหน้าที่บริการบนเครื่องบิน ไม่มีน้ำมัน ไม่มีกระเป๋าผู้โดยสารไม่มีระวางสินค้า Cargo ไม่มีอาหารและเครื่องดื่มที่จะนำขึ้นไปบริการผู้โดยสาร) น้ำหนักของลูกเรือ น้ำหนักผู้โดยสารน้ำหนักกระเป๋าผู้โดยสาร ฯลฯ เพื่อนำมาคำนวณในการเติมเชื้อเพลิง และ เพื่อความสมดุลย์ของเครื่องบินเมื่ออยู่ในอากาศน้ำหนักรวมทั้งหมดตอนทะยานสู่อากาศ และน้ำหนักทั้งหมดตอนลงสู่พื้นดินครับดังนั้น

จึงขอแนะนำว่า เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารเองผมว่าทำตามกฎที่ระบุไว้น่าจะดีที่สุดครับหากว่าผู้โดยสารมีสัมภาระที่จะต้องเอาไปต่างประเทศจริงๆถ้าน้ำหนักเกิน น่าจะส่งทาง Cargo หรืออีกอย่างหนึ่งที่เรียกกันว่า Unaccompanied Baggages ดีกว่าน่ะครับ เสียเงินน้อยกว่า ที่จะต้องเสียค่าระวาง Excess baggages ด้วยครับถึงช้าหน่อย แต่ก็ทำตามกฎ และถูกกว่า

 

กระเป๋าเดินทางสำหรับคนไปฝรั่งเศส

ข้อมูลจากคุณ บุญชิต (players) ค่ะ

มาช่วยคนจะไปฝรั่งเศสจ้า เอามาจากเวบส่วนตัวของผมเอง และแก้ไขบ้างบางจุด ถ้าใครเคยไปเจออยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องตกใจ ผมเขียนเองจริงๆ
http://www.chezplayers.com/media/guide_france00_scoop.html

การเตรียมเสื้อผ้า
ควรจะจัดหามาตามสภาพอากาศในช่วงที่จะเดินทางมา คือ
ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม - พฤษภาคม) อากาศจะคล้ายๆ หน้าหนาวเมืองไทย คือเย็นๆ มีฝนตก และเกือบหนาว แต่ไม่ต้องใส่โค้ท แค่แจ็กเก็ตหรือเสื้อสเวตเตอร์แบบคลุมๆ ก็พอ
ฤดูร้อน (มิถุนายน - สิงหาคม) อากาศจะร้อนแบบแห้งๆ (เหมือนเดินตากแดดหน้าหนาว) และอุณหภูมิสูงมากๆ บางปีมีคนร้อนถึงตาย ถ้ามาช่วงนั้นก็แต่งตัวได้คล้ายอยู่เมืองไทย และเป็นเสื้อผ้าที่ใส่สบาย เช่น เสื้อกล้าม เสื้อสายเดี่ยว เสื้อผ้าฝ้ายบางๆ แขนสั้น
ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน - พฤศจิกายน) อากาศจะหนาวประมาณเชียงใหม่หน้าหนาว มีฝนตกด้วย ควรหาเสื้อผ้าที่หนาและกันฝนได้ มีฮู้ดด้วยก็จะดีมาก ลมแรง ควรหาเสื้อที่กันลมได้ ไม่งั้นจะหนาวมาก ร่มที่จะเอามาควรแข็งแรงมากพอสมควร เพราะลมแรงขนาดร่มที่บอบบางสามารถหักพังได้เมื่อต้านลม
ฤดูหนาว (ธันวาคม - กุมภาพันธ์) อากาศจะหนาวมากๆ ต่ำกว่า 5 ถึง -10 (แล้วแต่พื้นที่) ปกติเสื้อหนาวที่มีขายที่เมืองไทย มักจะไม่ค่อยเจอแบบที่จะสู้กับความหนาวระดับนี้ได้ (เพราะขืนใครสั่งเข้าไปก็ไม่รู้หมีที่ไหนจะมาซื้อ) มาซื้อเอาที่นี่ดีกว่า แม้จะแพง แต่ก็ใช้ได้นาน (ดีกว่าซื้อมาแล้วใช้ไม่ได้ต้องทิ้ง) ช่วงหน้าหนาวต้องใส่เสื้อไม่ต่ำกว่า 3 ชั้น (ไม่รวมชุดชั้นในปกติ) ควรหาซื้อเสื้อกางเกงแบบที่ใส่ข้างในเพื่อป้องกันความหนาว (Long john) มาด้วย ไม่งั้นมีป่วยกันบ้างอย่างไรก็ตาม ไม่ค่อยแนะนำให้มาเริ่มต้นชีวิตครั้งแรกในฝรั่งเศสฤดูหนาว (เว้นแต่เคยมีประสบการณ์เคยอยู่ในประเทศเขตหนาวมาแล้ว) เพราะร่างกายที่เคยอยู่ในเขตร้อนจะปรับตัวยากหากเจอกับความหนาวแบบนี้ในครั้งแรกเลย

เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่เอามาจากเมืองไทยก็สู้หนาวได้ไม่ค่อยดี และเราจะป่วยง่าย (และมักจะเป็นหนัก แต่หายช้าด้วย) เมื่อป่วยในขณะที่อะไรๆ ก็ไม่เข้าที่ พลังชีวิตก็ตก พลังใจก็ต่ำ ธุระปะปังต่างๆ ก็คงไม่ราบรื่น หรือการใช้ชีวิตประจำวัน ถ้าไม่มีใครคอยช่วย ในช่วงที่ป่วยในหน้าหนาว และภาษายังไม่แข็ง มันเป็นสภาวะการณ์ที่แย่เกินจินตนาการจริงๆ ขอเตือน กระนั้น อากาศในศตวรรษนี้ค่อนข้างวิปริต บางครั้งอาจจะไม่เป็นไปตามฤดูเท่าไร (เพราะโลกกำลังป่วย) เช่น หน้าหนาวแต่แดดแจ๋ ฤดูใบไม้ร่วงแท้ๆ แต่หนาวเกือบ 0

นอกจากนี้ก็ยังขึ้นกับพื้นที่ด้วย เช่น ภาคเหนือและปารีสก็จะหนาวมากหน่อย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถวอัลซาด ติดเยอรมัน อันนั้นนะโครตหนาว แถวภาคกลางที่ผมอยู่ (แมสซีฟ ซองทราล) อันนี้หนาวเพราะเป็นภูมิประเทศแบบภูเขาล้อม แถวภาคใต้ มาร์กเซยล์ มองต์เปอลิเย่ อันนี้ไม่ค่อยหนาวมาก (และหน้าร้อนร้อนระงม) แต่ถ้าพวกใกล้เทือกเขาปิเรเน่อย่างตูลูสก็จะหนาวหน่อย ฯลฯ ถ้าใครจะมาช่วงไหน ลองเชคกับเวบไซต์พยากรณ์อากาศดู รองเท้า ควรหามาสักสองคู่ แบบใส่สบายๆ แบบใส่กระชับเพื่อเล่นกีฬาหรือเดินไปมาตามปกติ และแบบออกงานหรือไปไหนเป็นทางการ อนึ่ง ต้องหารองเท้าที่พื้นไม่ลื่นแม้เดินบนที่เปียก มีการยึดเกาะที่ดี เพื่อไม่ให้มีปัญหากับหิมะ น้ำฝน และเศษใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง

ชุดชั้นใน สำหรับสาวๆขนาดเอเชีย ควรเตรียมเสื้อชั้นในขนาดของคุณมาให้ดี เพราะไม่แน่ใจว่าที่นี่จะมีไซต์ที่คุณใส่ได้พอดีหรือเปล่า ส่วนกางเกงในที่นี่นิยมแบบจีสตริง แต่แบบธรรมดาก็พอหาได้บ้าง ไม่ต่างจากเมืองไทย ส่วนสำหรับผู้ชาย ที่นิยมกางเกงในแบบบิกินี่ ขอบอกว่าหายาก และมักจะสีเห่ย ลายห่วยจนไม่กล้าใส่ เพราะหนุ่มที่นี่นิยมใส่บ๊อกเซอร์ กางเกงในผ้ายืดแบบมีขา หรือพวกกางเกงในเต็มตัว ส่วนกางเกงในบิกินี่มีบ้าง แต่ดันเป็นจีสตริงแบบผู้ชายซะงั้น ถ้าไม่พอใจก็จงเตรียมมาเยอะๆ พบว่าทั้งปัญหาเรื่องขนาดและรสนิยม ทำให้บรรดาชาวไทยในต่างแดนนิยมสั่งชุดชั้นในมาจากเมืองไทยผ่านทางครอบครัว (หรือฝากคนอื่นหิ้วมาให้) เสียก็มาก ไม่ต้องตกใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่

อาหาร
ไม่แนะนำให้เอาอาหารมาด้วยมากนัก สำหรับการเดินทางมาครั้งแรก เพราะหนักกระเป๋าและไม่ค่อยมีประโยชน์ แม้ที่นี่ศุลกากรไม่ซีเรียสเรื่องการนำเข้าผลิตภัณฑ์การเกษตรเหมือนเช่นออสเตรเลียก็ตาม อาหารแบบที่เราคุ้นเคย มีขายแพร่หลายในซูปเปอร์มาเก็ตชั้นนำทั่วไป ข้าวสาร (ข้าวหอมมะลิไทย) น้ำปลา เปาะเปี๊ยะ (ที่นี่เรียก “แนม” (nam) ตามแบบเวียดนาม) ปลากระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป (ต้องบางห้างเท่านั้น) ยิ่งถ้าร้านเอเชียในเมืองใหญ่ๆ นึกดูว่าอยากได้อะไร มีเกือบหมด เครื่องแกง น้ำพริก กะปิ ปลาเค็ม ทุเรียน ผักไทยๆ มาม่า ยำยำ ไวไว

ส่วนเมืองเล็กๆ ก็อาจจะมีไม่ครบถ้วนมหัศจรรย์ แต่ก็พอหาได้ ราคาก็แน่นอนแพงกว่าบ้านเรา แต่ถ้าเทียบกับค่าครองชีพแล้วก็พอกินได้ เช่น น้ำปลาขวดละ 2 ยูโรกว่าๆ มาม่าซองละห้าสิบถึงหกสิบซองตีม ข้าวสารกิโลละสองยูโร ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม แนะนำให้หาโจ๊กสำร็จรูปแบบเป็นซองๆ ติดมาด้วยสักประมาณหนึ่ง หรือมาม่ามาสักหาหกห่อก็ได้ เผื่อไว้รับประทานยากขลุกขลักช่วงแรกๆ สำหรับผมจึงเห็นว่า พวกอาหารแบบไทยๆนี้ไม่ต้องติดมามากมาย ควรจะมาในรูปของเครื่องปรุง ผงเครื่องเทศ หรือน้ำพริกแกงเป็นซองๆมากกว่า

สิ่งที่ขาดไม่ได้ อยากแนะนำให้นำหม้อหุงข้าวขนาดเล็ก ที่หุงข้าวได้ราวหนึ่งถึงสามกระป๋องมาด้วย เพราะที่นี้แม้มีขายในร้านเอเชียบางแห่ง แต่ก็ราคาแพงและอาจจะขนาดใหญ่เกินไป หม้อหุงข้าวมีประโยชน์มากมายกว่าที่คิด เช่นหุงข้าว ต้มไข่ หรืออาหารประเภทต้มอื่นๆ (กรณีที่ที่พักไม่มีครัวส่วนตัวให้) ทำหม้อสุกี้ หรือแม้แต่ฟองดูว์ ถ้ากลัวว่าจะเสียเนื้อที่ในกระเป๋า ก็เอาพวกเสื้อผ้าชิ้นเล็กๆ ยัดมาในหม้อก็ได้ อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสเป็นประเทศเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ และขึ้นชื่อด้านอาหารการกินและเมรัย อาหารหรือเครื่องดื่มบางอย่างที่มีราคาแพง หากินยากในบ้านเรา เช่น หอยทากอบเนย ฟัวกรา คาเวียร์ ไก่งวง เนื้อวัวอย่างดีปลาแซลมอน ไวน์ แชมเปญ คอนยัค ฯลฯ หรือแม้กระทั่งอาหารธรรมดาๆ เช่น นม ขนมปัง ขนม ผัก ผลไม้ ก็ล้วนแต่สด ใหม่ หอม อร่อยกว่าบ้านเราแบบที่ต้องยอมรับก็มี ที่พอจะหาซื้อหากินได้ในซูปเปอร์มาเก็ตหรือร้านอาหารในราคาที่พอสมควรแก่อัตภาพ ดังนั้นจึงควรถือเป็นโอกาสในการ “เสพย์” สิ่งเหล่านี้ คงน่าเสียดาย ถ้าอุตส่าห์มาถึงฝรั่งเศสแล้วแต่ยังกินข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว แกงเขียวหวาน หรือลาบน้ำตก มิใช่หรือ ?

ยารักษาโรค
เตรียมมาตามสมควร ทั้งยาสามัญ (แก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาลม ยาอม ยาหม่อง ยาทาแผลแก้ขัดยอก ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ฯลฯ) ยาพวกนี้ในฝรั่งเศสมีขายในร้านขายยาซึ่งพอจะหาซื้อหาสามัญประจำบ้านง่ายๆได้ แต่ก็มีราคาแพง และยาเป็นของไม่หนัก เตรียมมาด้วยก็เป็นเรื่องดี และยาสำหรับโรคประจำตัวสำหรับบางคน ซึ่งยาแปลกๆพวกนี้ร้านขายยาจะขายให้ต่อเมื่อมีใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น

เครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้า
และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ การนำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาใช้ที่ฝรั่งเศส ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะไม่ต้องแปลงระบบไฟ ใช้ไฟเท่าบ้านเรา ปลั๊กก็เป็นปลั๊กหัวกลมที่หาตัวแปลงได้ง่าย ตามแผนกอะไหล่เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป หรือแม้แต่ตามแผงขายของแบกะดิน เพียงแต่ต้องระวัง ว่าปลั๊กที่เรานำมา ต้องไม่มีขั้วสายดิน เพราะสายดินฝรั่งเศส ขั้วจะอยู่ที่เต้าเสียบ ถ้าเราเอาปลั๊กที่มีขั้วสายดินมา ขั้วนั้นจะชนกันเองทำให้เสียบไม่ได้ (ดูรูปเข้าใจง่ายกว่าอ่านครับ เรื่องนี้)




คอมพิวเตอร์ กล้องดิจิตอล เครื่องเสียงพกพา และเมมโมรีต่างๆ
ที่นี่ราคาแพงกว่าเมืองไทยมาก ประมาณ 10%-20% (โดยเฉพาะเมมโมรีการ์ดต่างๆ พวก CF,SD,MS,XD, Flash Drive ฯลฯ ในราคาเท่ากัน ซื้อที่นี่ความจุลดลงไปเท่าหนึ่งเลย) ถ้าซื้อมาจากเมืองไทยได้ก็ซื้อมาดีกว่า ยกเว้นถ้าห่วงเรื่องรับประกัน แต่อุปกรณ์ปลีกย่อยจิปาถะแบบ แผ่นซีดีเปล่า ดิสต์ เทปเปล่า ฯลฯ พวกนี้ราคาสูงกว่าบ้าง แต่ก็พอซื้อไหว (CD-R สำหรับเขียนข้อมูล 10 แผ่น 15 ยูโร CD-R สำหรับเขียนเพลง 22 ยูโร) ไม่ต้องหอบหิ้วมามากให้หนักกระเป๋าสำหรับคำถามเรื่องคอมพิวเตอร์ ควรซื้อไว้แล้วหิ้วไป หรือมาซื้อเอาที่นี่ แน่นอนว่าคอมพิวเตอร์ที่นี่ราคาแพงกว่า
แต่การนำคอมพิวเตอร์จากประเทศไทยมา ต้องแน่ใจว่าจะไม่มาเสียอย่างร้ายแรง (เช่นซีดีป่วย หรือฮาร์ดดิสพัง) เพราะอาจจะไม่สามารถซ่อมได้เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ นอกจากนี้ คีย์บอร์ดของภาษาฝรั่งเศส มีรูปแบบตัวอักษรและการเรียงตัวแตกต่างจากคีย์บอร์ดภาษาอังกฤษ (ซึ่งแน่นอนว่าคีย์บอร์ดฝรั่งเศสสะดวกต่อการพิมพ์งานภาษาฝรั่งเศสมากกว่า) ถ้าจะมาเรียนเป็นเวลานาน การมาซื้อที่นี่เลยก็เข้าที เนื่องจากนอกจากประโยชน์ด้านคีย์บอร์ดที่ว่าแล้ว เรายังไม่ต้องแบกขึ้นเครื่องบินให้เมื่อยด้วย ส่วนราคาก็แพงจริง แต่ก็มีคอมพิวเตอร์ราคาไม่แพงในสเปกที่ดีพอสมควร จัดรายการลดราคาอยู่เสมอและถ้าติดพิมพ์ภาษาไทย หาคีย์บอร์ดภาษาไทยตัวเล้กๆมาด้วยก็ดี ไม่มีขายที่นี่แน่นอนครับโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์มือถือจากประเทศไทยส่วนใหญ่ สามารถเอามาใส่ซิมการ์ดที่ฝรั่งเศสได้ทั้งนั้น ระบบการใช้บริการก็คล้ายๆประเทศไทย คือ แบบเติมเงินกับแบบจดทะเบียนรายเดือน แต่ที่แตกต่างกัน คือแบบเติมเงินจะเสียค่าโทรแพงมาก คือนาทีละ 50 Centimes และคิดอัตราเดียวทั่วฝรั่งเศส ไม่เว้นแม้แต่จะโทรเข้าเบอร์ที่โทรได้ฟรีก็ตาม แต่การใช้บริการมือถือแบบจดทะเบียนก็ต้องมี Titre de séjour (เหมือนบัตรต่างด้าว) แล้วเท่านั้น

ของที่ระลึก
แนะนำว่าให้เตรียมมาพอสมควร สำหรับครูอาจารย์ที่เราประทับใจเป็นพิเศษ เจ้าหน้าที่บางคนที่อาจจะช่วยเหลือเรา เช่นสำนักงานทุน เจ้าของบ้าน ครอบครัวพี่เลี้ยง (La famille d’accueil) เพื่อนฝูงที่เราประทับใจหรือถูกชะตา ของที่ระลึกควรจะมีน้ำหนักเบา เช่นเป็นไม้ หรือเป็นผ้า ราคาไม่สำคัญ ขอให้มีสัญลักษณ์ความเป็นไทย (เช่นพวกของรูปช้าง ดอกบัว ปราสาทราชวัง)เป็นใช้ได้ ควรหลีกเลี่ยงของที่มีนัยทางศาสนา เช่น พระ หรือรูปที่เกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อ เพราะไม่แน่ว่าถ้าคนรับเขาเคร่งครัดในศาสนาอาจจะอึดอัดได้ ลองไปหาดูตามสวนจตุจักร แต่อยากให้เลือกของที่มีเอกลักษณ์นิดหนึ่ง อย่างพวงกุญแจอแมซซิ่งไทยแลนด์ที่ขายเกร่อๆกันตามสถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่ไหว ของที่ดูธรรมดา แต่คนรับประทับใจมากอย่างคาดไม่ถึง คือแสตมป์ไทย เหรียญเงินไทย กางเกงมวยไทย และ เสื้อยืดกระทิงแดงของแท้จากดินแดนต้นตำรับ !!! ควรเตรียมมาพอแจกคนได้สักห้าถึงสิบคน (มีของดีๆ ไปเลยสักสองสามชิ้น ของเรี่ยๆราดๆ ชิ้นเล็กๆอีกจำนวนหนึ่ง)

นอกจากนี้ก็มีเรื่อง การเตรียมตัวด้านภาษา การเตรียมใจ การเตรียมรับมือวัฒนธรรม การระวังความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งผมเขียนไว้ค่อนข้างละเอียดแล้วในเวบส่วนตัว
http://www.chezplayers.com/media/guide_france00_scoop.html (ลิ้งค์อยู่ในความเห็น 65) ถ้าสนใจก็ลองไปอ่านต่อในนั้นจะดีกว่า เอามาโพสต์ที่นี่จะนอกประเด็นเกินไปหน่อย

 

หมวด 8 ... อื่น ๆ เพิ่มเติม

รวบรวมมาจาก www.pantip.com/cafe/klaibaan

+++ อันนี้ขอเพิ่มเติมสำหรับใครที่จะมาเรียนต่อ USA นะครับ +++

ถ้ายังไม่มี notebook และคิดจะซื้อผมขอแนะนำให้มาซื้อที่นี่จะถูกกว่าเมืองไทย(มาก)มาถึงแล้ว ลองไปดูที่ Circuit City หรีอ Bestbuy เลยก็ได้จะมี deal ลดราคาอยู่เสมอ พอลดแล้วจะถูกกว่าเมืองไทยคิดแล้วก็หลายพันบาทเลยครับในบางช่วง ที่ Circuit City เนี่ยถ้าซื้อโน้ตบุ้ค(บางยี่ห้อ) แล้วเค้าก็จะให้ Printer แถมมาฟรีด้วย(ในรูปแบบการ rebate จ่ายตังค์ไปก่อน แล้วจะได้เงินคืนทีหลัง)ดังนั้นผมจึงคิดว่า ซื้อโน้ตบุ้คที่ USA จะได้ราคาถูกกว่าและคุ้มค่ากว่าด้วยครับ
จากคุณ : Hed Question
- [ 6 ส.ค. 49 15:31:04 ]

อันนี้อย่าหาว่าโฆษณาเลยนะ แต่ผมดูในลิสท์แล้ว รู้สึกเห็นด้วยอย่างแรงเลยอยากร่วมแนะนำอย่างยิ่งว่า ของดังต่อไปนี้ ควรเอามาจริงๆครับ
1. ยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบิน ขวดขาวๆ ฉลากสีเขียวอ่อนบอกตามตรง ไม่เคยกินยาอะไรแก้โรคทางเดินอาหารได้ดีเท่าตัวนี้เลยครับ
2. โวลทาเรน อีมัลเจล ยาทาแก้ปวดกล้ามเนื้ออันนี้ก็เป็นอีกตัว ที่ใช้แล้วได้ผลชะงัก สงสัยเพราะยาแรงอีกทั้งเราไม่สามารถซื้อหา ตัวยานี้ (ไดโคลฟีแนค) ได้ตามปกติที่นี่จะต้องมี pescription เท่านั้น จึงจะซื้อได้
3. ยาแก้แผลในปาก Kenalog ที่มีรูปฮิปโปบนหลอดที่นี่ก็มี แต่ว่าแพงกว่าที่ไทยประมาณ 4 เท่า แถมมันยังหลอดจิ๋วเดียวดังนั้น ก็เอาติดมาเถอะครับ ไม่เสียหลายหรอกครับ
4. แผ่นโปรแกรมที่จำเป็นต้องใช้แน่ๆเช่น Microsoft Office และ Norton Antivirus (หรือ McAfee ก็ได้)ที่นี่แพงนะจ๊ะ ที่ไทยถูกใช่ไหม? งั้นเอามาโลดซื้อที่ไหน... รู้กัน5. อันนี้แนะนำแบบส่วนตัว... ทาโร่ครับอร่อย มีโปรตีน(อันน้อยนิด)จากเนื้อปลาซองก็แบนๆ ไม่กินเนื้อที่เหมือนขนมอย่างอื่นแถมยังแก้ท้องว่างยามค่ำคืนได้ดีนักแล
จากคุณ : Hed Question
- [ 6 ส.ค. 49 15:51:36 ]

ขออนุญาติเพิ่มเติม
-ของจำเป็นมากคือแว่นตากะคอนแทคเลนส์ที่นอกแพงมากกกและต้องจ่ายค่าวัดสายตาแพงอีกเอามาจากเมืองไทยเยอะๆเลยสำรองไว้
-เสื้อเชิทขาวกับกางเกงผ้าดำไว้เผื่อทำงานร้านอาหาร/สมัครงาน
-ชุดไทย1ชุดสำหรับงานเทศการไทยๆทั้งหลาย
-ขอเสริมอีกอันตามที่คุณ Hed Question ปนะนำเรื่องแลปทอป อย่าลืมเอาสติคเกอร์ไทยมาด้วยนะ
-ยาประจำตัวหอบมาเยอะๆเลยเอาใบสั่งยาจากหมอเปงภาษาอิงมาด้วย
-อันนี้อาจไม่จำเป็นแต่ผมแนะนำพวกหนังสือ/ซีดีสารคดีเชิงท่องเที่ยวแนะนำประเทศไทยภาษาอังกฤษเอาแบบที่ทันสมัยๆมาหน่อยนะ เอาไว้ให้พวกฝรั่งในกะลาดูเพราะมีเยอะ เป็นการเผยแพร่ความเป็ฯไทยด้วยเหอๆ
-บางอย่างมันสำหรับ UK นะอย่างชุดชั้นในถ้าไปเมกามันจะแพงมากแบบน้อยและไซส์ใหญ่ไปสำหรับคนไทยที่ตัวเล็กๆ(ทั้งชายและหญิง)
-คุณเด็กบ้านนอกบอกว่าตอนแรกลำบากเรื่องการกินมากดังนั้นถ้าไปพักโรงแรมหาชามพลาสติกเบาๆซักใบสองใบไปด้วยเพราะจานชามมันแพง
-หากมีที่ต้มน้ำร้อนอันเล็กๆไปด้วยจะเวิคมากเพื่อประทังชีวิตในการกินมาม่า น้ำก้อกมันไม่สะอาดพอ

เช็คลิสต์ของท่านอื่นๆ

คุณเกือกซ่า
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pinkynutty&month=03-2005&date=05&group=5&blog=2

คุณดอส
http://dosday.com/diary/usefullink.php

คุณ ammy
http://ammyweb.spaces.live.com/blog/cns!8D767FF50B696715!636.entry?_c11_blogpart_blogpart=blogview&_c=blogpart#permalink

จากคุณ : violator
- [ 6 ส.ค. 49 16:03:12 ]

ขออีกนิ๊สสสส... ไหนๆก็เขียนแล้วอ่ะนะอันนี้สำหรับ USA นะครับผมคิดว่า ของเหล่านี้ ที่นี่ ค่อนข้างถูก และไม่จำเป็นต้องเอามาครับ
1. แชมพูสระผม และครีมนวดทุกห้าง ทุกร้าน แทบจะไม่เคยขายราคาเต็มมันจะลดเหลือขวดละประมาณ 3-4 เหรียญเป็นประจำยิ่งถ้าที่ Walmart นะ ราคาปกติยังราวๆแค่ร้อยสิบบาทเองมั้งในขณะที่เมืองไทยนี่ แชมพูแพนทีนจะสองร้อยอยู่แล้วใช่ไหม?
2. ยาสีฟันนี่ก็เหมือนกัน ทุกห้าง ทุกร้าน จะเอามาลดราคาอยู่เสมอซื้อหลอด แถมหลอด บ้าง ใช้คูปองลดทันที $1 บ้างลดแล้ว ตกประมาณหลอดละ 30 ถึง 60 บาทไทย แล้วแต่ดวงเอามาก่อนแค่ใช้แปรงสองเดือนแรก หลอดเดียวก็พอครับ
3. ที่ดับกลิ่นรักแร้สำหรับผู้ชาย (ของผู้หญิงก็คงด้วย)มีให้เลือกมากมาย ประมาณ 50 แบบจาก 7 ยี่ห้อเห็นจะได้ในเมื่อมันแข่งกันซะขนาดนี้ มันก็เลยต้องแข่งกันดัมพ์ราคาไปด้วย
4. USB wireless mouse สำหรับต่อ notebookอันที่จริง ราคาปกติของมัน ก็แพงเอาเรื่องอยู่แต่ก็อีกเช่นเคย มันลดราคาบ่อยมาก มักจะเหลือแค่ $10 (หลังจาก rebate)ในหนึ่งเดือน ต้องมีอย่างน้อย 1 สโตร์ ที่เอาอุปกรณ์คอมตัวนี้ มาลดราคา
5. เสื้อ overcoatเห็นด้วยกับข้อความของเจ้าของกระทู้ที่ว่า มันเปลืองเนื้อที่กระเป๋ามากเนื่องจากเสื้อกันหนาวหนาๆเนี่ย เรามาหาซื้อได้ในราคาที่ไม่แพงเท่าไหร่หรอกแถมคิดดูดิ เราสามารถแทนที่เสื้อตัวบะเร่อๆด้วยขนมที่เราชอบได้ตั้งเท่าไหร่
6. ไม้กอล์ฟ (ถ้าเล่น)สำหรับหนุ่มสาวที่รักการออกรอบเป็นชีวิตจิตใจที่นี่ ไม้กอล์ฟสัญชาติอเมริกันเช่น Callaway, Titleist หรือ Clevelandราคาถูกกว่าที่เมืองไทยแน่นอนถ้ารู้จักแหล่งและค่อยๆหาดีๆรับรองว่าได้ทั้งชุดเหล็กอย่างดีในราคาไม่ถึงสองหมื่นบาทเลยเอาแค่นี้ก่อนละกันครับ ที่เหลือขอไปนั่งนึกก่อน
จากคุณ : Hed Question
- [ 6 ส.ค. 49 16:27:23 ]

มาเพิ่มอีก 2 อย่างค่ะ
1. พวกอุปกรณ์การซ่อมต่างๆ เช่น ไขควง หรือ screw driver เจอมากับตัวเองเลยค่ะ ตอนย้ายเข้าอพาร์ตเม้นท์คืนแรก ซื้อเตียงแบบที่ต้องต่อเองมา เพราะกลัวต้องนอนพื้น เพื่อนจะช่วยต่อให้ ดั๊นไม่มีเจ้าสิ่งนี้คือ screw driverนี่แหละค่ะ ทั้งๆที่เตรียมมาแต่ว่าหาไม่เจอ ไม่รู้หมกอยู่ส่วนไหนของกระเป๋ายักษ์ เลยต้องใช้กรรไกร ไม้บรรทัดเหล็กไปก่อน ผลคือ เสียทั้งกรรไกร และไม้บรรทัดไปเลยค่ะ เตียงก็ง่อนแง่นมากๆ แนะนำว่าเอามาอันเดียวก็ได้ค่ะ แต่เอาอันที่จับถนัดมือ ไม่จำเป็นต้องเอามาครบเซ็ต ครบทุกขนาด แบบเล็กไปก็ไม่ดีค่ะ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ใช้ เอาแบบใหญ่หน่อยใช้งานได้จริงค่ะ พกมาได้นะคะ แต่เอาใส่กระเป๋าเดินทางที่โหลดลงเครื่องอย่าใส่กระเป๋าถือมาค่ะ
2. อีกอย่างนึงเราเอามาแล้วมีประโยชน์กับตัวเองนะคะ คือ Vitamin C เอาแบบ 500mg มาเลยค่ะ แบบที่อมไม่ไหวเลยนั่นล่ะ ยิ่งแรงยิ่งดี เวลาที่อากาศเปลี่ยนหรือทำถ้าว่าจะเริ่มเป็นหวัด เรากินเจ้านี่เลยค่ะ ไม่ต้องอม กลืนกับน้ำแบบยาเม็ดทั่วไปเลย เม็ดเดียวอยู่ค่ะ วันละเม็ดก็พอนะ ไม่เป็นหวัดเลยนะเนี่ย ตั้งแต่อยู่มา อิๆๆ อันนี้แอบมั่นใจ
จากคุณ : ถนัดสองมือ (Ambidexter)
- [ 17 ส.ค. 49 05:32:17 ]

 

หมวด 7 ... คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฟฟ้า

- notebook
- ปลั๊กไฟ adapter ตัวต่อแยก
- กล้อง และที่ชาร์ทถ่านกล้อง
- หมึกปริ้นเตอร์
- หาดูใน net เช่น ร้าน Argos
http://www.argos.co.uk/static/Home.htm ว่าเราอยากได้รุ่นไหน แล้วก็เตรียมซื้อหมึก Refill จากพันทิพย์ ไปได้เลย ที่นี่หมึกแพงมาก
- ซีดีเปล่า
- ซีดีเพลงและหนังไทย เอาไว้เผื่อคิดถึง แต่เอามาเฉพาะที่ชอบสุดๆ นะ เพราะเดี๋ยวนี้หาดูตาม net ได้ง่าย
- ซีดีโปรแกรมที่คาดว่าต้องใช้ เช่น ถ้าเรียนสาย Social Science ก็ควรมี SPSS แล้วถ้าไม่เคยใช้ ก็ซื้อหนังสือคู่มือการใช้ภาษาไทยมาด้วย จะช่วยได้มากเลย- โทรศัพท์มือถือและที่ชาร์ทถ่าน
- เอามาใช้ช่วงแรกที่ยังเปิด contract ไม่ได้เพราะว่าการจะเปิด contract ที่นี่ได้ต้องมีบัญชีธนาคารก่อน และมีบัตรที่ใช้ direct debit ได้นะ
- MP3
- เมาส์
- USB thumb drive มีประโยชน์มาก เพราะต้องมีการส่ง file รับ file กันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาทำงานกลุ่ม
- สาย USB ยาวๆ , สาย LAN เอายาวๆ หน่อยนะ เพราะบางทีที่เสียบอยู่ไกลๆ
- ไฟฉาย
- นาฬิกาข้อมื

อ======== รายการในหมวดนี่ที่แนะนำให้มาซื้อที่นี่ ========
- Printer
- หม้อหุงข้าว ไม่แพงเลย ซื้อได้ที่เจ้าเดิม ร้าน Argos
http://www.argos.co.uk/static/Home.htm
- ไดร์เป่าผม (ถ้าใช้นะ)
- วิทยุ ที่เล่น cd ได้และเป็นนาฬิกาปลุกได้อีก ถูกมากประมาณ 10 ปอนด์ ซื้อได้ที่เจ้าเก่า ร้าน Argos อีกนั่นละ
http://www.argos.co.uk/static/Home.htm

 

หมวด 6 ... เครื่องเขียน

เอาทุกอย่างที่เป็นเครื่องเขึยนปกติเราชอบใช้เวลาเรียนมาให้หมด มันไม่หนักเท่าไร แทรกไปตามซอกหลืบกระเป่าได้ เพราะที่นี่เครื่องเขียนแพงมาก โดยทั่วไป ก็มี
- ปากกาทุกชนิด พร้อมไฮไลท์เตอร์
- ดินสอกดและใส้ดินสอ
- ยางลบ (สัก 2 3 ก้อน)
- คัทเตอร์ **แยกโหลด
- กรรไกร **แยกโหลด
- แม็กส์ พร้อม ลูกแม็กส์
- ถุงใส่ดินสอ
- liquid น้ำ แห้ง
- แผ่นคั่นหนังสือของ 3 M
- กาว uhu
- post it
- ไม้บรรทัดสั้น ยาว
- เครื่องคิดเลข
- ปากกาเมจิก
- ปากกาเขียน CD

=========== รายการในหมวดนี่ที่แนะนำให้มาซื้อที่นี่ ==========
- สมุด หรือพวก Notepad
- สก็อตเทป
- แฟ้มห่วง แฟ้มใส
- คลิปหนีบกระดาษ
- ที่หนีบกระดาษ

 

หมวด 5 ...เอกสารสำเนาต่าง ๆ

รายการนี่สำคัญ เอกสารของเราเท่านั้น หาใหม่ไม่ได้ แล้วค่า xerox ที่นี่ก็แพง เพราะงั้นก็ xerox มาจากไทยเลยนะ
- passport and visa
- Offer letter and acceptance letter
- offer letter accommodation
- ตั๋วเครื่องบิน
- รูปถ่าย เอามาเยอะๆ ที่นี่ไม่มีแต่งฟิมล์เหมือนบ้านเรา ถ่ายมาแล้วรับไม่ได้
- transcript
- IELTS certificate and GMAT or GRE (ถ้าใช้)
- เช็คเดินทาง ดร๊าฟ เงินสด บัตรเครดิต

 

หมวด 4 ...ยา

เป็นหมวดที่เราเตรียมมาแล้วได้ใช้แบบรู้สึกคุ้มค่า
- ยาหม่อง, para, ยาแก้อักเสบ, ดีคอลเจน, antifect, เบตาดีน
- ยาแก้แผลในปาก Kenalog (ที่นี่อากาศแปรปรวน ทำให้เป็นร้อนในง่าย)
- ยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบิน
- เทนโซพลาส, ผ้าก๊อต, เทป 3m
- ยาดม,เซียงเพียวอิ๊ว
- ยาคลายกล้ามเนื้อ , counterpain, โวทาเลน, เฮรูดอย
- ยาแก้ท้องเสีย และผงน้ำเกลือชงแก้ดื่มเวลาท้องเสีย (ยี่ห้อ oreda ดี โดยเฉพาะรสส้ม)
- ยาอื่นๆ ตามอาการประจำตัว
- พวกยาอื่นๆ ที่ขอจากร้านหมอ เช่น ยาสิว ให้ขอจดหมายมาด้วยนะ ที่คลินิกเตค้ารู้อยู่แล้วละ แต่บอกเค้า เค็าก็ทำให้โดยง่ายดาย คือให้เอามาไว้กันเหนียวนะ เผื่อเค้าตรวจเจอแล้วถาม แต่ปกติก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ
========= รายการในหมวดนี่ที่แนะนำให้มาซื้อที่นี่ =========
วิตามินต่างๆ นะ ไม่ต้องขนมาให้นักนะ ที่นี่มีร้านชื่อ Holland and Barrett มีวิตามินทุกอย่าง คุณภาพดี และราตาไม่แพง ยิ่งคอยจ้องเวลาเค้าลดนะ โฮคุ้มมากก
http://www.hollandandbarrett.com/index.asp?AFID=38&SAFID=GOOGLE&SCID=3054

Thursday, September 07, 2006

 

หมวด 3 ... เครื่องครัว ห้องน้ำ ห้องนอน

หมวดนี่จริงๆ แล้วมาซื้อที่นี่ได้หมด แต่เอาติดไม้ติดมือมา นิดหน่อย ยำ้นิดหน่อยนะ ไว้สำหรับช่วงแรก ส่วนหลังๆ ก็ไปซื้อเอาได้
- ม่าม่า- โลโบ- หมูหยอง- น้ำพริก ถ้าแบบที่เป็นขวดหนักเอามาลำบาก แนะนำให้ซื้อเป็นซอง ยี่ห้อ OJ นะ เราว่ารสชาด หลานๆ นำ้พริกตำจากครกนะ- กะปิ

=========== รายการในหมวดนี่ที่แนะนำให้มาซื้อที่นี่ ========
- มีด- ฟองน้ำล้างจาน- ฟองน้ำขัด 3 เอ็ม- หนังสติ๊ก- ถุงพลาสติก- กะทะ หม้อชาม จาน รามไห- ถุงซักผ้า- ผ้าคลุมเตียง ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน- ผ้าขี้ริ้ว หรือ ผ้าเช็ดจิปาถะ- ถุงมือยางทำความสะอาดห้องน้ำรายการเหล่านี่สามารถหาซื้อในราคาย่อมเยาได้ที่ Primark, One Pound Shop, Tesco, Asda (เอาค่าโมษณามาให้ฉันเดี๋ยวนี่นะที่อังกฤษไม่มีหมอนข้างอะ หายังไงก้หาไม่เจอ อยากได้หมอนข้าง

 

หมวด 2 ... ของใช้ส่วนตัว

- หวี และกระจกเล็ก
- ชุดตัดเล็บ
- ยาสีฟันและแปรงสีฟัน เอามาให้ครบปีเลย ที่นี่แพงมาก ถ้าตามหลักการทั่วไป หนึ่งปีจะใช้ยาสีฟันหลอดใหญ่ 4-5 หลอด และตามหลักสุขอนามัยก็ใช้ แปรงสีฟัน 6 อันต่อปี (ทำวิจัยมา…..เว่อร์สะไม่มี เราเนี่ย)
- ชุดเย็บผ้าแบบอันเล็ก เอามาเผื่ออะไรขาดจะได้ซ่อมได้
- ถ้าสายตาสั้นนะ เอา contact lense กับนำ้ยามาด้วยให้ครบปี ที่นี่แพงแบบทำเลซิกได้เลย ถ้าโดยทั่วไป หนึ่งปีจะใช้นำ้ยา 4 ขวดนะ

========= รายการในหมวดนี่ที่แนะนำให้มาซื้อที่นี่ ==========
- แป้งธรรมดา และแป้งเด็ก
- แชมพู ครีมนวด ที่นี่มียี่ห้อ Tresemme
http://www.tresemme.com/ ที่เราชอบมากๆ เลย
- สบู่ โลชั่น ครีม เครื่องประทินโฉมอื่นๆ ที่ Boots ก็มีหมดนะ
http://www.boots.com/home.jsp- กระเป๋าต่างๆ นี่แล้วแต่ตาม style ส่วนบุคคลนะ แต่มาซื้อที่นี่เหอะ จะได้ของน่ารักๆ ไม่แพงด้วย>>>>>> อันนี้ลับเฉพาะคุณสภาพสตรี (แต่มาเขียนตรงนี้แล้วมันลับยังไงเนี่ย) ถามกันมามากเหลือเกิน

…. ผ้าอนามัยควรเอามามั้ย ตอบได้เลยว่าที่นี่มันแพงกว่าก็จริง แต่ราคาที่แพงกว่าแล้ว ก็ยังคุ้มกว่าที่จะแบกทั้งหมดมาจากไทยนะ เพราะงั้นก็มาซือ้ที่นี่เถอะ ราคาพอรับได้

 

กระเป๋าเดินทาง หมวด 1 ... เสื้อผ้าอาภรณ์

ข้อมูลที่คุณ Mactopia ได้รวบรวมเอาไว้ใน Pantip.com ซึ่งเป็นการจัดกระเป๋าสำหรับคนที่ไปเรียน แต่สำหรับคนที่จะไปเป็นแม่บ้าน...คงเอาไปประยุกต์ใช้ได้นะคะ

ขออนุญาตนำมาใส่ไว้ใน blog เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่ผ่านมาเจอนะคะ และคงจะเป็นประโยชน์กับเราเองด้วย เพราะต้องจัดกระเป๋าเดินทางบ่อย ๆ ต้องขออนุญาตตัดทอนบางส่วน หรือปรับเปลี่ยนบางข้อความเพื่อความเหมาะสม รวมทั้งนำเอาข้อมูลที่ไปเจอมาเอามารวมไว้ด้วยกันนะคะ

http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H4598770/H4598770.html

รวบรวมมาให้ชาวไกลบ้าน..Checklist สำหรับคนที่กำลังจัดกระเป๋ามาเรียนต่างประเทศ เห็นว่าช่วงนี่น่าจะเป็นช่วงที่ชาว(ที่กำลังจะ)ไกลบ้านหลายๆ คนกำลังขมักเขม้นกับการจัดกระเป๋ามาเรียนยังจุดมุ่งหมายที่ตนเองได้เลือกไว้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ และจากประสบการณ์ของตนเอง โจทย์การจำกัดเรื่องนำ้หนักก็เพิ่มความยากเข้าไปอีก จริงๆ แล้วชีวิตมันจะง่ายขึ้นเยอะเลย ถ้าไม่โดนจำกัดจำเขี่ยกันแต่ 30 กิโลเนี่ย (คือ ถ้าสายการบิกปกติ จะให้นำหนักที่ 20 โล แต่ถ้าเป็นนักเรียนส่วนมากจะขอเพิ่มได้เป็น 30 โล แต่อันนี้ไม่นับรวมถึงคนที่มีเส้นก๋วยจับ ก๋วยเตี๋ยวขอได้มากกว่านี่นะจ้า) และที่เห็นบ๋อยๆ คือจะมีกระทู้ถามเรื่องของที่ควรเอามาไม่เอามาเป็นจำนวนมาก ว่ากระนั้นแล้วก็เลยใช้ประสบการณ์ของตนเอง ได้มาจากการอ่านหนังสือที่คุณๆ ต่างๆ มาเรียนที่ต่างๆ ประเทศ แล้วได้เขียนไว้ให้เป็นวิทยาทาน ถามจากเพื่อนที่มาเรียนที่นี่ และเพื่อนๆ อีกมากมายใน pantip และที่สำคัญที่สุด และได้รายการ Checklist มาจากคุณ fat shark ในห้อง around uk ก็ได้ออกมาทั้งหมด เป็น 7 หมวด และมีคำแนะนำว่าอะไรควรไปซื้อที่โน่นบ้าง อะไรที่น่าจะเสียแรงขนมาจากไทยเนื่องจากประสบการณ์ที่เรามี และรายการของคุณ fat shark จะเน้นไปที่ประเทศอังกฤษ แต่เราว่ารายการโดยทั่วไป น่าจะใช้ได้กับประเทศอื่นๆ ด้วย เลยตั้งใจมาตั้งกระทู้ที่ห้องรวม ถ้าจะให้ดีมากๆ และให้กระทู้นี่ได้เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ชาวไกลบ้าน อยากให้เพื่อนๆ ที่มีประสบการณ์จากประเทศอื่นๆ เข้ามาเสริมเพิ่มเติม รายการของ ร้านค้าที่เป็นของประเทศนั้นๆ หรือ ความเห็น ที่อาจแตกต่างไปจาก UK ค่ะหวังว่าคงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ชาวไกลบ้าน นะค่ะ ที่มา: ดัดแปลงมาจากที่ Post ใน Blog ของ Mactopia ค่ะ และรายการ Checklist ของคุณ fat shark

จากคุณ : Mactopia - [ 6 ส.ค. 49 00:29:50 ]

แม้เป็นของนอกกาย แต่รายการนี่ละทำเอาคนน้ำหนักเกินมาเยอะแล้ว

ก่อนอื่นต้องเกริ่นเรื่องสถาพอากาศของที่อังกฤษก่อน เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกเสื้อผ้ามาที่นี่เลยละ

อากาศที่นี่จะถือว่าแปรปรวมมาก ขาดความมั่นคงอย่างรุนแรง (เจอผู้ชายอย่างนี่ไม่ไหวนะเนี่ย) เดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวแดดออก แต่เอาเป็นว่าโดยหลักๆ แล้วจะแบ่งเป็น 3 ฤดูด้วยกัน

1. ฤดูหนาว ประมาณช่วงเดือนพฤศจิกาถึงมีนา อุณหภูมิ -3c - 10c ซึ่งเสื้อผ้าที่ใส่ก็จะเป็นแนว Overcoat หน้าหนาวหนาๆ หรือโคทพองที่ใส่แล้วเหมือนน้องมิชชาลินนะ ซึ่งขอยำ้ว่ารายการนี่ ไม่แนะนำให้ซื้อมาจากเมืองไทย เพราะเปลืองที่กระเป่า และที่น่มีให้เลือกเยอะมาก และเวลาลดราคาช่วงปลายปี ก็ไม่แพงเลยละ ราคาอยู่ที่ตั้งแต่ 30-250 ปอนด์ ก็มีให้เลือกมากมาย สุดแล้วแต่ว่าอยากจะสวยเก่ห์ ลงทุนกันมากน้อยเท่าไร

2. ฤดูใบไม้ร่วง ช่วงเมษาถึงมิถุนา อากาศช่วงนี้จะเร่ิมอุ่นขึ้นมาหน่อย เพราะงั้น โคดหน้าหนาวก็เก้บเข้าตู้ไป หน้านี่จะใส่ประมาณ Jumper และ Jacket ซึ่งก็อีกเหมือนกัน ที่นี่มีขายให้เลือกเพียบ ลายก็น่ารักๆ หรือบางทีอาจซื้อเก็บไว้ตั่งแต่ช่วง Winter sale ก้ได้ เพราะงั่นแนะนำว่าเอามาจากไทย แค่ 2-3 ตัวพอ แล้วที่เหลือก็มาซื้อที่นี่เอาได้

3. หน้าร้อน ช่วงปลายมิึถนาถึงกันยา หน้าร้อนที่นี่จะแปลกๆ คือ บางวันเนี่ยร้อนจัดเลย แบบแต่งตัวชายหาดได้ แต่บางวันก็ร้อนแบบหน้าหนาวเมืองไทย เพราะงั่นต้องใส่เสี้อยืดแขนยาว หรือใส่ Jacket บางๆ ทับ สำหรับเสื้อผ้าหน้านี่แนะนำว่า ให้เอามาจากเมืองไทยก้ดี เพราะบ้านเราเสื้อผ้าหน้าร้อนราคาถูก และมันไม่กินที่มาก พวกกางเกงขาสั้นเสื้อกล้ามอะไรเงี่ย เอามาเหอะ เพราะที่นี่แพงกว่า และที่สำคัญถ้าใครติดใส่กางเกงเลนะ ขอยำ้ว่าให้เอามาด้วย เพราะที่นี่บ่อมีจ้า

4. หน้าฝน ช่วง....ไม่มีอะ เพราะคุณฝนเธอนึกจะตกเมื่อไรก้มาเลย ไม่ขึ้นอยู่กับหน้าอะไรทั้งสิ้น เพราะงั่นส่ิงหนึ่งที่สำตัญมากสำหรับที่นี่ คือ Rain Jacket เพราะที่นี่ฝนตกไม่หนัก เพราะงั่นบางทีการร่มแล้ว เสียมือในการถือของไป เพราะงั่นใส่ Rain Jacket สะดวกกว่ามาก ซึ่งสามารถหาซื้อได้ที่เมืองไทยนะ เพราะพวกยึ่ห้อที่ทำ Rain Jacket อย่าง Northface, Jack Wolfskin หรือ Columbia นะเค้าผลิดในไทย เพราะงั่้นบางทีศูนย์ส่งออก หรือ Outlet เค้าจะเอามาขายไม่แพงมาก และที่สำตัญมันไม่หนา ก็ไม่กินเนื้อที่กระเป่าเท่าไรนะ

อ้อและถ้าพูดถึงร่มนะ ร่มของเมืองไทยอย่าเอามาเลย ต้านทานลมที่นี่ไม่ไหวนะ มาซื้อที่นี่เอาดีกว่า เพราะเต้ามีร่มแบบ Ultra light and strong ประมาณ 2 ปอนด์เอง หรือไม่ก็ร่มของ Mark and Spencer ดีมากๆ แต่ราคาก็แพง คือประมาณ 7 ปอนด์จบกันไป

ว่าด้วยเรื่องเสื้อผ้าตามฤดู ที่นี่มาดุเรื่อง เครื่องนุ่งห่มอื่นๆ กันดีกว่า

---ชุดชั้นใน--- รายการนี่เนี่ย อาจแล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล บางคนอาจต้องใส่ยี่ห้อเฉพาะ แต่ถ้าไม่แล้ว ขอบอกว่าที่นี่ชุดชั้นในคุณภาพดีและไม่แพงมาก เพราะงั้นอาจเอาติดต่อมาพอใช้ และอาจมาซื้อเพิ่มที่นี่เอาได้

---ถุงเท้า---- เป็นอีกหนึ่งรายการที่จะเป็นมากเพราะที่นี่เป็นเมืองหนาว ต้องใส่ถุงเท่าตลอดเวลา แนะนำว่าซื้อมาจากเมืองไทยส่วนหนึ่งที่เป็นถึงเท่าแบบไม่หนามากนะ ที่มีขายอยู่ทั่วไป ส่วนถึงเท่าหน้า หรือถึงเท่า wool ที่ไว้ใส่หน้าหนาวโดยเฉพาะ ให้มาซื้อที่นี่ เพราะมีขายเยอะ และไม่แพงอะ

---ผ้าผันคอ--- ใช่บ่อยช่วงหน้าหนาว แต่หน้าอื่นๆ ก้ไม่ค่อยเท่าไร ถ้าที่บ้านมีอยู่แล้วก้หยิดติดมาก็ได้ แต่ถ้าไม่มีก้ไม่ต้องซื้อนะ มาซื้อที่นี่ก็ได้ มีผ้าพันคอสวยๆ แล้วหนาๆ แบบที่พันแล้วอุ่น่ชนิดแบบไม่อยากแกะออกจากคอเลย

---หมวก--- ถ้าหน้าร้อนก็อาจใส่หมวกแบบทั่วไป ที่บ้านเราใส่กัน ก็เอามาจากเมืองไทยนะ ส่วนหน้าหนาวเค้าจะใส่หมวกไหมพรหมกัน ถ้าหาที่เมืองไทยราคาไม่แพงมากก็ซื้อมาไว้สักใบก็ได้ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็มาซื้อที่นี่ได้ มีให้เลือกมากมายอีกเหมือนกัน

---รองเท้า--- อันนี่ขาดไม่ได้เลยนะ ถ้าเดินเท้าเปล่าออกนอกบ้านเนี่ย .... (ไม่มีคำบรรยาย) คือ คงหนาวจับจิตเลยละ แนะนำว่าให้เอารองเท้าที่เปียกนำ้ได้มาอะ คือ อย่างพวกรองเท้าหนัง เพราะที่นี่ฝนตกบ่อย แล้วก้ผ้าใบสักคู่หนี่งก้ได้ ไว้ใส่เที่ยวและเล่นกีฬาได้ ซึ่งอย่างหลังนี่มาซื้อที่นี่ก้ได้นะ เพราะที่อังกฤษจะมีร้านขายรองเท้าชื่อ TK MAX ขายพวกรองเท้ากีฬามียื่ห้อนี่ละ แต่ว่าถูกมาก เพราะเป็นแบบคกรุ่นแฟชั่น แต่ไม่ตกรุ่นเรา ส่วนรองเท้าแคะเอามาจากไทยเหอะ เพราะบ้านเรารองเท้าแตะถูกมากเลย ส่วนรองเท้าเดินในห้องหรือบ้าน (อยู่ที่นี่มักต้องใส่เพราะเย็นเท้า) มาซื้อที่นี่นะ ถูกมากและมันจะเป็นแบบหนาๆ เหมาะกับเมืองหนาวนะ สุดท้ายช่วงหน้าหนาว อาจซื้อบูทที่นี่ก็ได้ เพราะนะช่วยให้ขาอุ่นมากเลย ไม่ต้องเอามาจากไทยนะ เพราะเปลืองที่ ที่นี่มีให้เลือกเยอะมากกก ไม่แพงด้วยเพราะคนเค้านิยมบูทกันนะ

 

กระเป๋าเดินทางสำหรับสาว ๆ ที่จะไป Holland

ข้อมูลของคุณ bangkok dream ใน

http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H4598770/H4598770.html

1. เสื้อผ้า อากาศคล้ายของฝรั่งเศสค่ะ โดยรวมก็คือ ถ้าเปิดเทอมเดือนกันยา จะเป็นใบไม้ร่วง อุณหภูมิประมาณสิบกว่าๆ เสื้อผ้ากันหนาวเนี่ย เอามาแค่พอใช้จริงๆ ก็พอค่ะ เช่น โค้ทตัวนึง สเวตเตอร์ ผ้าพันคอพาสมีน่าซักผืน หมวก ถุงมือ รองเท้าหุ้มส้น (หรือบูทก็ได้) อย่างละอัน(คู่) ก็พอ ที่เหลือมาซื้อเอาทีหลังดีกว่าค่ะ คุณภาพดี ราคาไม่แพงมาก และมีแบบให้เลือกเยอะเลย (อันนี้สำคัญ) ยิ่ง ตอนเซล แล้วจะหาโค้ทหน้าหนาวง่ายมากชุดชั้นใน เอามาแค่พอใช้ก็ได้ค่ะ พอเซลทีนึง ไซส์คนไทยเหลือตรึมเลยค่ะ คัพ เอ บี ที่รอบตัวเล็กๆ นี่สบายมากๆ (คนดัชตัวโตมากๆ) ราคาไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่แต่ส่วนมากชั้นในเค้าไม่ค่อยเน้นแบบใส่สบาย อย่าง กกน ฟักทองบ้านเรา ไม่เคยเห็นเลย(อาจจะเพราะมันหนาว ยิ่งใส่ยิ่งหนาว) จะเน้นแบบเซ็กซี่ จีสตริง เสื้อในก็แบบทั้งโครง ทั้งดันน่ะค่ะใครติดแบบใส่สบายเอาไปจากบ้านเราดีกว่าสำคัญคือ รองเท้าแตะค่ะ สำหรับหน้าร้อน หรือใครที่ติดใส่อยู่บ้าน เอาไปด้วยค่ะ หาซื้อยากมาก ไม่สวยและแพงมาก (เทียบกับเมืองไทย) ไม่งั้นหน้าร้อนจะไม่เริ่ดค่ะ พวกเสื้อผ้าหน้าร้อนเอาติดไปด้วยก็ได้ค่ะ หน้าหนาวใส่ไว้ข้างใน พอร้อนไม่ต้องใส่โค้ท เราก็จะเริ่ดกว่าใครพวกของแฟชั่นเค้าจะไม่ค่อยมีเก๋ๆเท่าไหร่ ส่วนมากจะเรียบๆ (ไม่นับพวกแบรนเนม)

2. อาหาร หาได้เกือบทุกอย่าง เอามาแค่กันอดช่วงแรกๆ กับอันที่ชอบจริงๆ ก็พอ แม้แต่เมืองเล็กๆ ก็มีขายทุกอย่างเลย น้ำพริกแกงนิตยา ผักชี มะละกอ กะปิ ไตปลา มาม่า โลโบ ทุเรียน เงาะ มังคุด ฯลฯ ร้านจีนมีหมดเลยค่ะ พวกอาหารสำเร็จรูปจะแพงกว่าเมืองไทยประมาณเท่านึงค่ะอาหารของดัชไม่ค่อยอร่อยค่ะ ถ้าใครทานยากคงต้องไปร้านจีนบ่อยหน่อย ฝึกทำกับข้าวมาด้วยก็จะดีมากเลยค่ะ ช่วยได้เยอะใครขี้เกียจเปิดเน็ท ก็เอาตำราทำหารเล่มเล็กๆไปช่วยได้ค่ะ

3. เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หิ้วโน๊ตบุ๊คไปจากเมืองไทยเลยค่ะ ไม่มีใครซื้อทีหลังเลย ค่อนข้างแพงค่ะ ส่วนอย่างอื่นก็เน้นที่เกี่ยวกับคอมน่ะค่ะ พวกของ ที่ยังไงก็ต้องใช้แน่ๆ เช่นทัมไดรว์ ฮาร์ดดิส ที่ฮอลแลนด์ไม่ค่อยมีให้เลือกมากมายเท่าไหร่ พวกของจุกจิกนี่บ้านเราชนะขาด แต่พวกปรินเตอร์ ลำโพงนี่ไม่ต้องนะคะ ราคาไม่ต่างกันเท่าไหร่ (แถมดีกว่าอีกต่างหาก) แต่หมึกแพงมากค่ะ ถ้าคิดได้ว่าจะใช้รุ่นไหนแล้วซื้อหมึกมาเตรียมเลยค่ะ คุ้มแน่นอน

4. โทรศัพท์ ถ้าจะเอามาเช็คก่อนนะคะว่าใช้ได้หรือเปล่า (เคยเอาไปแต่ใช้ไม่ได้ค่ะ) แต่ส่วนมากก็ซื้อเครื่องใหม่เชยๆกัน (เมืองไทยเจ๋งสุดแล้ว) ใช้ พรีเพดกันไป หรือไม่ก็ถ้ามาอยู่หอก็รอซื้อเครื่องมือสองเอา ถูกดีค่ะ

5. ของที่ระลึก คงเหมือนกันที่ท่านอื่นแนะนำค่ะ ควรเอาไปบ้าง พวกที่เบาๆ น่ะค่ะ เผื่อเซ่นอาจารย์ เช่นผ้าพันคอไหม สำหรับสปริง เสื้อกระทิงแดง (อันนี้เห็นด้วยว่าคนชอบเยอะมากๆ) ซื้อที่จตุจักรร้อยกว่าบาทชุดไทยเอาไปซักชุดนึง โดนแต่งแน่ๆ ซักปีละครั้ง

6. ของใช้ เครื่องครัว พวกของไม่ส่วนตัวไม่ต้องกังวลค่ะ ฮอลแลนด์มีตลาดของมือสองอยู่เยอะ หาซื้อของสวยๆ ถูกๆ ได้ง่ายมาก บางอย่างถูกกว่าเมืองไทยอีกค่ะจานชามช้อนส้อม หม้อกะทะ รวมถึงของแต่งบ้านต่างๆ ไปหาซื้อเอาดาบหน้าเลย ใช้เสร็จเรียนจบก็ขายมือสองถูกๆ ไปไดร์เป่าผม กาไฟฟ้า มีขาย สิบยูโรเยอะแยะ ไม่ต้องขนไปหรอกค่ะหม้อหุงข้าวแล้วแต่คนค่ะ เราไม่ได้เอาไป ใช้หม้อธรรมดาหุงข้าวเช็ดน้ำตลอดสองปี สะดวกเหมือนกันค่ะ

7. ผ้าห่ม ที่นอนหมอนมุ้ง ไปซื้อได้ที่อิเกียค่ะ ใครรังเกียจของใช้มือสองก็ซื้อทุกอย่างจากอิเกียได้ (แต่ผ้าห่มผ้าปู หมอนนี่คงต้องซื้อใหม่อยู่แล้วค่ะ) หมอนเป็นคนละไซส์กับบ้านเรานะคะ ปลอกหมอนใช้กันไม่ได้ค่ะ เตียงก็ขนาดประหลาด แล้วแต่คนจะเลือกซื้อ ไม่ค่อยมาตรฐานเหมือนบ้านเรา

8. จักรยาน จำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ต้องเตรียมอะไรไปเลยค่ะ แต่คำแนะนำคือ ควรหาซื้อจักรยานมือสองสภาพไม่สวย (หรือทาสีเองให้มันแจ๋นๆไปเลย) ราคาซัก ๕๐ ถึง ๑๐๐ ก็พอค่ะ เพราะจักรยานหายบ่อยมากๆ ถ้าซื้อแพงจะเสียดาย ชุดซ่อมยาง เค้ามีขายตามร้านหรือตลาด ไม่แพง ใครสามารถศึกษาวิธีปะยางและใส่โซ่ตอนโซ่หลุดไปล่วงหน้าก็ช่วยได้เยอะ หรือไปถามคนจีนกับอิสราเอลเอา (สองชาตินี้ปะยางเก่ง) ส่วนโซ่ล็อค แนะนำให้ลงทุนหน่อย ซื้อแบบดีๆไปเลยที่หน้าตาเหมือนงูของเล่น มีล็อคแบบกันตัดด้วย หนาประมาณนิ้วนึงน่ะค่ะ(อย่าเอาแบบหน้าตาเหมือนโซ่ธรรมดา ถึงจะเส้นเท่านิ้วก็โดนตัดค่ะ) ราคา ๑๕ ถึง ๒๐ ยูโร แพงแต่คุ้มค่ะ ไม่งั้นจักรยานหายจะเสียใจเคยซื้อโซ่ไปจากเมืองไทย แบบเจ๋งสุดๆเกือบเท่าโซ่มอไซค์อะค่ะ อาทิตย์เดียวเองค่ะ โดนตัดโลด

9. ยา เอาไปเหอะค่ะ โดยเฉพาะยาส่วนตัว และแก้ปวดเมื่อย (ขี่จักรยานแรกๆจะเมื่อยก้นมากๆ)

10. พวกแชมพูสบู่ยาสระผม ถ้าไม่ติดยี่ห้อ ก็เอาไปแค่พอใช้ตอนแรกๆก็พอค่ะ ราคารับได้

11.บุหรี่ ท่านที่สูบบุหรี่ก็ซื้อซะที่ดิวตี้ฟรีเลยนะคะ เค้าให้เอาไปได้คอทนึงมั้ง ที่เหลือก็แยกร่างใส่กระเป๋าอย่าให้เค้าเห็นเป็นคอทก็ใช้ได้ค่ะ ตอนนี้น่าจะซองละเกือบห้ายูโรแล้วมั้งคะ

 

Tip for Trip

อยากทำ blog นี้ไว้รวบรวมข้อมูล และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่าง ๆ เกี่ยวกับการเดินทาง
ทั้งเรื่องการ pack กระเป๋า ... ทำอย่างไรเมื่อถึงสนามบิน ...
รวมทั้งปัญหาที่คนเดินทางได้ประสบพบเจอ

This page is powered by Blogger. Isn't yours?

-->
Links
archives